30 พฤษภาคม, 2555

ตัดสินใจบอกคนรอบข้าง

ก่อนหน้าที่เมมีอาการ ไม่ว่าจะเครียด เศร้า ร้องไห้ ไปพบแพทย์ ฯลฯ
เมก็ยอมรับและเผชิญกับมันมาคนเดียวตลอด
จนพี่ชายที่สนิทกัน เริ่มถามถึงอาการบ่อยขึ้น เพราะเราแปลกไปนี่
เราเลยตัดสินใจพูดเท่าที่สามารถสื่อออกไปได้
เพราะบางครั้ง การที่จะพูด หรืออธิบายอะไรออกไป มันก็ช่างยาก
เรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ว่าจะพูดว่าอะไร ใช้คำว่าอะไร
ให้คนฟังเค้าเข้าใจในสิ่งที่เาต้องการจะสื่อ

ก็เหมือนกับการเขียนบล๊อกนี่ล่ะ ก็ต้องใช้ความพยายามเช่นกัน

เมเริ่มจากพูดสิ่งที่เมเสียใจ จากการที่เป็นแบบนี้
ตัวอย่างเช่น เมเสียใจที่ไม่สามารถ take care น้องสาวที่สนิทกันได้เหมือนเมื่อก่อน
เมจะชอบทำอาหาร ทำขนมให้น้องทาน พาน้องไปเที่ยวที่ที่น้องสาวอยากไป
แต่ 7 เดือนที่เมเป็นแบบนี้ เหตุการณ์ปรกติที่เมเคยทำ แทบจะไม่มีเลย
ที่ว่า แทบจะไม่มีเลย ก็คือ มีพาน้องออกไปทานข้าวข้างนอกบ้าง
แต่ทำอาหารที่บ้าน ไม่มีเลย ไม่มีสักจานเลย

แล้วก็เสียใจ ที่ทำตัวให้แม่ต้องเป็นห่วงตลอด เสียใจกับคำพูดของเพื่อนบ้าง
คำพูดของพี่สาวบ้าง น้อยใจบ้าง เมเริ่มระบายออกไปทีละเรื่องที่นึกออก

พี่ชายก็รับฟัง แล้วก็บอกว่า จะยังไงก็แล้วแต่ อยู่ด้วยกันต่อไปนานๆ
อยากให้หนูกลับมาเป็นคนเดิม อยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ

เมก็เริ่มเบาใจขึ้นเปราะหนึ่ง ว่าอย่างน้อย มีคนหนึ่งล่ะ ที่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น
เค้าจะเข้าใจเราหรือเปล่า เมไม่รู้หรอก แต่อย่างน้อย ยังมีพี่ชายคนนี้เป็นกำลังใจ
และเชื่อมั่นในตัวเมว่าเมจะต้องหาย และแน่นอนเมก็อยากหาย

ส่วนคนที่สอง ที่เมตัดสินใจพูดให้ฟัง ก็คือพี่สาวแท้ๆ ของเมเอง
ถ้าใครเคยอ่านบทความแรกๆ จะรู้ว่า เมไม่ได้สนิทกับพี่สาวเท่าไหร่นัก
แต่เมก็ตัดสินใจที่จะค่อยๆ พูดออกไป
พี่สาวกับแม่ จะคิดตลอดว่า ที่เมเป็นแบบนี้เพราะว่าเมเลิกกับแฟนที่คบกันมานาน
และมีความคาดหวังสูง พอต้องมาเลิกกัน เมเลยทรุด

จะบอกว่ามันไม่ใช่เหตุผล มันก็ไม่เชิงสะทีเดียว แต่จะบอกว่า มันคือทั้งหมด มันก็ไม่ใช่แน่นอน

พอเมเริ่มพูด เริ่มสื่อออกไปให้พี่สาวฟัง พี่สาวก็จะมีความขัดแ้งตอบโต้กลับมาตลอด
แล้วทำไมไม่อย่างนั้น แล้วทำไมไม่อย่างนี้
แล้วถ้าคิดว่าตัวเองเป็น "โรค" ก็จะเป็นแบบนี้ต่อไป เมื่อไหร่จะหาย
เมไม่ได้ต้องการให้ใครมาเออออห่อหมกกับเมตลอดหรอกนะ
แต่เมก็จะบอกพี่สาวตลอดว่า สิ่งที่แจ้พูดมาน่ะ เมรู้ เมคิดได้ แต่เมไม่สามารถทำได้

พี่สาวย้อนถามเมว่า แล้วหมอจะช่วยอะไรเราได้ ก็แค่ให้ยาๆ แล้วก็กลายเป็นคนติดยา
คือ จะมาถามเมแบบนั้น เมก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันหรอกนะ
แต่เมรู้แต่ว่าอย่างน้อย เมก็ได้ "พยายาม" ทำอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยเหลือตัวเอง

2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา เมเครียด และหดหู่อยู่บ่อยๆ
ร้องไห้หนักๆ และเริ่มกลับมาทำร้ายตัวเอง ก็ไม่ถึงกับเลือดตก ยางออก
เพราะทุกครั้ง เมก็พยายามเรียกสติตัวเองตลอด ไม่ว่าจะร้องไห้หนักขนาดไหน
ตะโกนให้ลั่นรถ ก็จะนึกถึงหน้าแม่ตลอด
เมยอมรับ ว่าความคิดที่ไม่อยากจะอยู่อีกต่อไปแล้วเริ่มกลับมา

เมเลยคิดว่า ถ้าได้บอกคนรอบข้างบ้าง เค้าอาจจะช่วยเป็นกำลังใจ
หรือช่วยดึงเรากลับมา แต่ก็นะ คำว่า "เค้าไม่เข้าใจเราหรอก" มันก็มีความหมายแบบนั้นจริงๆ


27 พฤษภาคม, 2555

ขอแชร์อะไรเล็กๆ น้อยๆ

หลังจากพบคุณหมอครั้งที่สองเสร็จ เมก็นึกขึ้นได้หลายอย่าง 
ว่าตัวเองมีคำถามเยอะแยะมากมายอยากจะถามคุณหมอ
แต่กลับไม่ได้ถามเลย

เลยอยากแนะนำว่า ต้องจด นึกได้ตอนไหน อารมณ์มาตอนไหน จดเลยค่ะ 

ถ้าจด ใส่สมุด หรือกระดาษแล้วลืมพกไป หรือจดแล้วมันช้า ไม่ทันใจ ไม่ทันความคิด
เมแนะนำให้อัดเสียงใส่โทรศัพท์เลย ซึ่งเมทำแบบนั้นจริงๆ

อ่อ แล้วก้มีอีกอย่าง ที่เมลืมเล่าไปในบล็อกที่แล้ว 
ก็คือ เมเล่าให้คุณหมอฟังด้วยว่า เมเล่นอินเตอร์เน็ตนะ 
เล่นทวิตเตอร์ แล้วก็ได้คุยกับคนที่เค้าเป็นเหมือนกับเรา 
ให้กำลังใจกันและกัน ก็จะรู้สึกดีขึ้นมา มากบ้าง น้อยบ้าง ตามโอกาส
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยไม่ใช่เหรอ?
ซึ่งยอมรับเลยว่า บางครั้งยังรู้สึกว่า 
เค้าสนใจความรู้สึกนึกคิดเรามากกว่าคนรอบข้างเสียอีก


แล้วบางที เวลาเมรู้สึกดาวน์มาก หดหู่มาก รู้สึกเหมือนตัวเองจะร่วงลงไป
เมกลับนึกถึงเพื่อนในทวิตเตอร์มากขึ้น 
ยังไงก็ขอขอบคุณคุณนางกับน้องเฟิร์นอีกครั้ง 
ปล. ที่เรียกคุณนางว่าคุณนาง เพราะไม่ทราบอายุเลย แล้วก็ไม่เคยถาม นั่นสิ ทำไมหว่า ><


จากที่บ่นๆ มาด้านบน คือ เมต้องการจะบอกว่า การที่เราได้มีใครสักคนที่รับฟังเรา
ไม่ต้องเข้าใจเราก็ได้ ขอแค่เค้ายินดี และเต็มใจที่รับฟังเรา สักคนหนึ่ง เท่านั้น 
เราจะรู้สึกดีขึ้นได้ ไม่มากก็น้อย แล้วแต่สถานการณ์


กับคนที่เราไม่เคยพบเจอในชีวิตจริง กับคนที่เราไม่เคยไปทานอาหาร หรือหัวเราะด้วยกัน
แต่มาร้องไห้ผ่านหน้าคอม หน้าไอแพด หน้าซัมซุง หรืออะไรก็แล้วแต่ และระบายสิ่งที่เราอัดอั้นออกไปบ้าง สักพัก เราจะสงบลงค่ะ จริงๆ นะ 


อยากบอกให้ทุกคนสู้ บอกตัวเองด้วย สู้ไปด้วยกัน โรคนี้หายได้ค่ะ 


ทิ้งท้ายด้วยป้ายที่รพ. "โรคซึมเศร้า ไม่ใช่โรคจิต ใส่ใจสักนิด รักษาหายได้"



พบคุณหมอครั้งที่2

วันนี้ไปถึงประมาณเก้าโมงกว่า
ยังมีแอบนอยด์บ่นในทวิตว่า ไม่อยากไปอยู่เลย
แต่ไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อตัวเองก็ต้องไป

ค่อยๆ ขับรถไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
พอไปถึง ก็หันซ้าย หันขวา ว่ายื่นใบนัดช่องไหนหว่า
ยื่นใบนัดเสร็จ เค้าก็บอกให้ไปนั่งรอ หน้าห้อง 302 (ถ้าจำไม่ผิด)
พร้อมให้บัตรคิวมาด้วย


เมก็นั่งรอไป แอบตื่นเต้นเหมือนเดิม พอถึงคิวก็เข้าไปในห้อง
วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก แล้วพยาบาลก็สอบถามอาการว่า เป็นอย่างไรบ้าง
ดีขึ้น หรือแย่ลง เมตอบไปว่า ทรงตัวค่ะ
พยาบาลก็เขียนยึกๆๆๆๆ ลงในแฟ้ม แล้วก็ให้เหรียญพลาสติกเหมือนเดิม
บอกให้ไปรอพบคุณหมอ

ระหว่างเดินขึ้นบันไดแค่ไม่กี่ขึ้นเพื่อไปนั่งรอพบคุณหมอ
ก็ยังแอบคิดว่า "ที่ให้พบหมออีก แสดงว่า ยังต้องรักษาต่อสินะ
ก็ใช่สิ อารมณ์แปรปรวนขนาดหนัก เอาวะ สู้ๆ"



ตอนไปนั่งรอ มีคนไข้คนหนึ่ง นั่งร้องไห้ แล้วก็พูดอะไรไม่รู้
เมจับใจความไม่ได้เลย รู้สึกสงสารมาก จนน้ำตาไหล
กลับกลายเป็นร้องไห้ตามไปเลย โอ้ว ชีวิต!

พอเจ้าหน้าที่เรียกให้พบคุณหมอ เมก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปพบคุณหมอ
วันนี้หน้าตาคุณหมอดูสดใสเป็นพิเศษ เราเลยแอบรู้สึกดีขึ้นนิดนึง (ไม่รู้ทำไม)
คุณหมอก็ถามว่า เป็นยังไงบ้าง สองอาทิตย์ที่ผ่านมา
เมก็เล่าให้ฟัง ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง รวมๆ ก็คือ
ร้องไห้น้อยลง แต่ขี้หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียวมากขึ้น
คุณหมอเลยบอกว่า "เป็นส่วนหนึ่งของอาการนะ ไม่ต้องวิตก"
แล้วก็ถามเมว่า "แล้วเราทำยังไง เวลารู้สึกโมโหมากๆ หงุดหงิดมากๆ"
เมเลยบอกว่า ก็จะเดินหนีไป หรือนับเลขในใจ เพื่อระงับอารมณ์
คุณหมอก็ถามอีกว่า "แล้วการทำแบบนั้น กับได้โวยวายออกมา แบบไหนดีกว่ากัน?"
เมนิ่งไปแป๊ปนึง คิดก่อน..แล้วก็ตอบว่า ได้โวยวายออกไปก็ดีไปแบบนึง
แต่หลังจากสงบก็รู้สึกแย่ รู้สึกผิด เสียใจที่โวยวายออกไปแบบนั้น
แต่ถ้าพยายามเก็บ มันก็สะสมๆ ทำให้เครียดขึ้นมาอีก 

คุยไปเรื่อยๆ คุณหมอก็ถามเรื่องการนอนหลับ ทานข้าว
แล้วก็เลยพาลไปถามถึงเรื่องยา เมเลยบอกไปตามตรงว่า
ไม่ได้ทานยาเลย แล้วก็บอกเหตุผลไป (อ่านย้อนได้ที่บล็อกก่อนหน้าค่ะ)
http://maepinksnow.blogspot.com/2012/05/blog-post_4403.html

คุณหมอเลยบอกว่า ขอให้ลองทานยาดูนะ เพราะยาจะช่วยในเรื่องของอารมณ์อย่างมาก
เราก็เลยทำหน้าแหยๆ แล้วก็พยักหน้างึกๆ

พบหมอครั้งนี้ไม่ต้องเสียค่ายา ใช้ยาเดิม เลยจ่ายแค่ค่าหมอ 50 บาท
นัดอีกครั้งในสองอาทิตย์ข้างหน้า


26 พฤษภาคม, 2555

อาการในช่วงอาทิตย์ที่สองก่อนหมอนัด

ขอบอกอันนี้ก่อนเลย เดี๋ยวจะลืม 
ยาสองตัวแรก ที่คุณหมอสั่งมาให้ เมไม่ได้ทานเลย 
ยอมรับผิดเต็มๆ >_<


เหตุผลๆๆๆ มีนะ ก็คือ เมก็เอาชื่อตัวยา ยี่ห้อยา ที่อยู่บนแผง 
มาค้นคว้าในอินเตอร์เน็ต พออ่านๆ ไปแล้ว ก็เริ่มรู็สึกไม่อยากจะทานแล้วล่ะ 
แล้วยิ่งได้อ่านบล็อกของคนที่มีประสบการณ์ ที่ต้องทรมานกับยา
ยิ่งทำให้ไม่อยากแตะต้องเข้าไปใหญ่


อาการก็คือ จะมึนงง สู้แสงไม่ได้ อยากจะซุกตัว มุดตัวอยู่ในความมืด 
ว่าง่ายๆ ก็คือ ยาเค้าอยากให้เราพักผ่อนน่ะ

แล้วไอเราเนี่ย อยากจะออกไปนั่งร้านกาแฟมากกว่าหมกตัวอยู่ในห้องมืดๆ นี่นา 
ก็อยู่มาทั้งคืนแล้วอ่ะ 


แล้วผลลัพธ์ที่ได้จากไม่ยอมทานยาก็คือ ยังนอนไม่หลับเหมือนเดิม
ถึงจะได้หลับก็ หลับๆ ตื่นๆ ทุก 5-10 นาที รวมๆ แล้วไม่เกินสองชั่วโมงต่อวัน
รู้สึกหดหู่ เศร้าบ้าง เป็นบางครั้ง แต่ไม่ร้องไห้ตลอดเวลาแบบเมื่อก่อน 
แต่กลับฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์ กลายเป็นคนขี้วีน 
จนมีครั้งนึง วีนใส่เพื่อนสนิทไป ทั้งๆ ที่เพื่อนเป็นห่วง


รู้สึกผิดมากๆ ก็ร้องไห้เสียใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้ 
อารมณ์ดิ่งทันที...จากที่เคยอ่านหนังสือได้ อ่านได้อย่างมาก 3 หน้า ก็ปิดเล่ม 
ไม่มีสมาธิ ไม่อยากจะอ่าน ไม่อยากจะทำอะไร 
เครียดเข้าไปอีก ว่าตัวเองเป็นอะไรนักหนานะ!


พอถึงวันรุ่งขึ้นที่ครบกำหนดคุณหมอนัด ก็พยายามทำใจให้สบาย 
เตรียมว่าจะถามอะไรกับคุณหมอดี อะไรที่เราข้องใจ 
อะไรที่เราเป็น และเราจะสามารถแก้ไขได้อย่างไร 


อาการในช่วงอาทิตย์แรกก่อนหมอนัด

ตอนพบคุณหมอครั้งแรก คุณหมอถามเมว่า
ทำอะไรแล้วรู้สึกไม่หดหู่ ไม่อยากร้องไห้ หรือรู้สึกเศร้า
เมเลยบอกไปว่า อ่านหนังสือที่อ่านง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน
ดื่มกาแฟของโปรด อยู่ในที่ที่คนไม่พลุกพล่าน

คุณหมอเลยแนะนำว่า ให้ทำในสิ่งที่ทำให้อารมณ์ไม่จมดิ่ง
และค่อยๆ คิดว่า อยากจะทำอะไรอีกไหม

เมก็ยังไปอ่านหนังสือตามร้านกาแฟ ถ้าใคร Follow twitter ของเม
จะทราบว่า เมจะชอบไปนั่งร้านกาแฟ และสามรถอยู่ได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 3-4 ทุ่มเลยทีเดียว

แต่พอช่วงปลายอาทิตย์แรก เริ่มมีอาการหงุดหงิดง่าย รำคาญทุกอย่างรอบข้าง
รำคาญเสียงพูดคุย รำคาญทุกอย่าง อยากจะโวยวาย อยากจะกรี๊ดใส่หน้าคนที่พูดมาก
มีถึงขนาดที่ว่า พี่สาว กับน้องสาว นั่งคุยกันบนโต๊ะทานข้าว
คุยกันปกติ แย่งพูดกันไปมา เมเริ่มรู้สึกตึงๆ ที่ก้านสมอง
แล้วก็เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วก็ตบโต๊ะอย่างแรงไปหนึ่งที
พร้อมบอกว่า เงียบๆ ได้ไหม ปวดหัวมาก

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้า แทบจะไม่สนใจอะไรกับรอบตัวเลยสักนิดเดียว
เดินซึมๆ ไปวันๆ ใครอยากจะทำอะไรก็ช่าง
หลังจากนั้นไม่ถึงนาที เมเริ่มได้สติ แล้วแปลกใจกับตัวเองมาก
แถมยังรู้สึกผิดมาก และอยากจะร้องไห้ ว่าตัวเองกลายเป็นอะไรแล้ว?



สู้อีกครั้ง กับคุณหมอคนใหม่ ภาคที่ 2

ตอนนั่งรอก็รอแบบใจตุ้มๆ ต่อมๆ เอาโทรศัพท์มากดดูนู้นนี่นั่น แก้อาการตื่นเต้น
ผู้คนรอบข้างที่นั่งรอพบคุณหมอเหมือนกัน บางคนต้องมีคนพามา 
บางคน ก็สามารถพาตัวเองมาได้ อย่างเช่นเม เป็นต้น


บรรยากาศก็เป็นเก้าอี้แถวๆ ตั้งเป็นช่วงๆ ตามห้องตรวจ 
และจะมีเจ้าหน้าที่นั่งหน้าห้อง คอยเรียกว่าใครจะเข้าเป็นคนต่อไป


หาครั้งแรก จะรอนานหน่อย เพราะเค้าจะให้คนไข้เก่าที่หมอนัดตรวจก่อน
ระหว่างเมนั่งรอ น้ำตาก็ไหล นั่งร้องไห้สะงั้น รู้สึกเศร้า
ว่าทำไมตัวเองถึงต้องมานั่งอยู่ในแผนกนี้นะ 
ทำไมไม่เป็นคนที่สามารถรับอะไรต่อมิอะไร แล้วต่อสู้กับมันได้ 


แต่ใครว่าชีวิตมันง่ายล่ะ? จริงไหม?


พอใกล้ถึงคิวของเม เมก็ยิ่งตื่นเต้น ไม่รู้ว่าคุณหมอหน้าตาเป็นยังไง 
จะดุหรือเปล่า จะพูดอะไรก่อน จะเริ่มอะไรก่อนดี คิดไปสารพัดสารเพ

พอเข้าไปในห้อง เมก็ยกมือไหว้คุณหมอ แล้วก็นั่งลง 
น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด กลัวไปต่างๆ นาๆ 
คุณหมอเลยบอกให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องรีบ 
แล้วคุณหมอก็ถามคำถาม เราก็แค่ตอบตามที่เราเป็น หรือแวบแรกที่นึกได้

เมก็คุยกับคุณหมอไปเรื่อยๆ คุณหมอบอกว่า ยังไม่สามารถสรุปแน่ชัดได้ว่า 
สาเหตุจริงๆ มาจากอะไร แต่คิดว่า น่าจะเกิดจากความห่างเหินทางด้านจิตใจของครอบครัว

คุณหมอเลยสั่งยาให้ ได้ยามาสองตัว เป็นยานอนหลับ (เพราะว่าเมนอนไม่หลับเลย)
อีกตัวเป็นยาควบคุมอารมณ์ (คุณหมอใช้คำนี้) 
แล้วก็นัดในอีกสองอาทิตย์ 

15 พฤษภาคม, 2555

สู้อีกครั้ง กับคุณหมอคนใหม่ ภาคที่ 1

วันนั้นเป็นวันศุกร์ จากการหาข้อมูลจากเว็บไซท์ของโรงพยาบาล
ต้องไปทำบัตรผู้ป่วยใหม่ก่อนเวลา 11:45 น.
เมไปถึงก็ เกือบ 10:30 น. เลย เพราะรถติดมากๆ คิดว่าจะไม่ทันสะแล้ว
แถมขับรถเลยทางเข้าอีก แต่ดีที่เลยไม่มาก เลยแอบถอยเอา =__=

ไปถึง ก็มองๆ อ่านป้าย ว่าเริ่มตรงไหนก่อน
แล้วก็เดินไปบอกว่า มาทำบัตรใหม่ค่ะ
เจ้าหน้าที่ก็บอกให้กรอกข้อมูลใส่กระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ
เมก็นั่งลง แล้วเขียนๆ ระหว่างเขียนก้มีเจ้าหน้าที่คนนึง เดินเข้ามาถามว่า
"เป็นอะไรมาครับ" เมก็เงยหน้ามองแล้วก็ตอบไม่ถูก ไม่รู้จะพูดว่าเป็นอะไรมา
เค้าเลยรีบพูดว่า "อ่อ ถามเฉยๆ ไม่ได้ว่าอะไรนะ จะได้ส่งให้ถูกแผนก"
ตอนนั้นเมแบบว่า อยากจะบอกว่า อ่อ ไม่ใช่ค่ะ แต่บอกไม่ถูกจริงๆ
คือ เค้าคงรับมือกับคนที่ป่วยทางจิตใจมาเยอะ แอบเห็นใจ

แต่มันพูดไม่ออกนะ พูดแค่ เอ่อ...... เจ้าหน้าที่เลยบอก เครียดมาเหรอ
เมเลยรีบพยักหน้าเลย เค้าก็เลยบอกว่า "โอเคครับ กรอกข้อมูลเสร็จ ยื่นให้ช่องนี้นะ  พร้อมบัตรประชาชน"
เค้าก็ชี้ไป เมเลยบอก ค่ะๆ

พอกรอกข้อมูลไป 2 หน้า (เยอะไปไหน) เมก็ไปยื่นให้ตามที่เค้าบอก
แล้วก็ยืนรอสักพัก ยืนมองบรรยากาศรอบๆ มองผู้คนรอบๆ
แล้วก็รู้สึกแปลกนิดหน่อย สักพัก ก็ได้บัตรมา
แล้วก็บอกให้ไปนั่งรอหน้าห้องซักประวัติ พร้อมชี้มือ

เมก็เดินไปนั่งรอ ระหว่างรอ ใจก็เต้นตุบๆๆๆๆ เหมือนจะหลุดออกจากอก
ตื่นเต้นมาก จนอยากร้องไห้ แต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้
เสร็จแล้วก็มีเจ้าหน้าที่มาวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก
แล้วก็เข้าห้องไปซักประวัติกับพยาบาล
พยาบาลก็ถามว่า "เป็นอะไรมาคะ? ตอนนี้รู็สึกยังไงบ้าง?
คิดยังไงถึงมาหาหมอ? มากับใครหรือเปล่า? ได้บอกใครไหม?
คิดอยากตายบ้างไหม? เคยทำร้ายตัวเองหรือเปล่า? วิธีไหนเหรอ?......แล้วก็อีกเยอะพอสมควร

ตอบไป ร้องไห้ไป น้ำตาไหลพราก แบบอั้นไม่อยู่
บอกไม่ได้ว่าร้องทำไม อาจเป็นเพราะ แค่ฟังสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา
ก็รู้สึกสงสารตัวเอง

พอคุยกับพยาบาลเสร็จ เค้าก็บอกให้ไปรอหน้าห้อง เดี๋ยวจะมีคนพาไปพบคุณหมอ

เมก็มานั่งตาบวมเป่ง น้ำตาก็ยังไหลอยู่ พยายามเช็ดๆ
แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ให้เบอร์มา เป็นเหรียญพลาสติก มีเลขห้องติดอยู่
ว่า ให้ไปรอหน้าห้องนี้นะ

.....ต่อภาค 2 นะคะ




ขอขอบคุณจากใจ

หลังจากพบคุณหมอครั้งสุดท้าย เมก็เก็บตัว
ไม่พูดคุยกับใคร ไม่ออกไปไหน ไม่ทำอะไรเลย
เพราะคิดแย่ๆ ตลอดว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้น

คอมพิวเตอร์ก็แทบไม่ได้แตะ โทรศัพท์ที่เคยเป็นอวัยวะที่ 33 ก็วางทิ้งเอาไว้
คิดว่าไม่อยากจะอยู่อีกต่อไปแล้ว หลายต่อหลายครั้ง
ทุกครั้งก้ร้องไห้ สมเพชตัวเองตลอด ว่าทำไมถึงได้คิดแบบนี้
เราอยากตายจริงๆ หรอ อยากจะตายจริงๆ หรือเปล่า?

พอร้องไห้จนเหนื่อยพอแล้ว เมก็ลุกขึ้นมาเปิดคอม
อาจดูตลกนะ อยากตาย แต่ดันมาเปิดคอม -.-'
แต่การเปิดคอมครั้งนี้ ทำให้เมมีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป

เมเปิดคอมขึ้นมา แล้ว search คำว่า อยากตาย
ก็มีขึ้นมาหลายลิงค์เลย ส่วนใหญ่ จะถามว่า ทำอย่างไรดี?
เมก็เปิดอ่านไปเรื่อยๆ ลิงค์นี้ เชื่อมไปยังลิงค์นู้น
ลิงค์นู้น ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง... ไปเจอบอร์ดเกี่ยวกับคนเป็นโรคซึมเศร้า
แล้วมีคนเอาบล็อก บล็อกนึงโพสไว้ ว่าให้ไปอ่านดู เผื่อจะมีกำลังใจขึ้นบ้าง

เมจึงคลิกเข้าไป  http://depme.blogspot.com/
เมอ่านตั้งแต่ต้น พออ่านไปแล้ว มีคนที่เค้าเป็นคล้ายๆ เราเลย
แต่เค้ายังสู้ ยังอยากจะรักษาตัวเอง
แต่เรานี่อะไร ไปหาหมอก็แล้ว ทั้งที่คุณหมอก็พยายามช่วยก็แล้ว

เมจึงเปิดหาข้อมูลโรงพยาบาลอีกครั้ง
คราวนี้ ตัดสินใจไปหารัฐบาล และตัดสินใจอยู่สองแห่ง 
ที่เป็นที่รักษาเกี่ยวกับจิตเวชโดยตรง
ระหว่าง โรงพยาบาลบ้านสมเด็จฯ กับ โรงพยาบาลศรีธัญญา 
เมเลือกที่ที่สะดวกกับเมที่สุด ก็คือ โรงพยาบาลบ้านสมเด็จฯ
เมื่อดูข้อมูล การติดต่อต่างๆ การทำบัตรครั้งแรกแล้ว
อีกสองวัน เมก็ไปเพื่อที่จะพบแพทย์อีกครั้ง
และยังนึกขอบคุณจากใจอยู่เสมอ
ขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เมพบบล็อกของคุณนาง
และก็ขอบคุณจากใจ ที่คุณนางทำบล็อกขึ้นมา
ทำให้เมตัดสินใจรักษาตัวเอง
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ


พบจิตแพทย์ครั้งที่สี่

ครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้
ที่ว่าเป็นครั้งสุดท้ายก็เพราะว่า
เมไม่ได้ดีขึ้นเลย ไม่ใช่ว่าคุณหมอไม่ดี
คือหมายถึง ทั้งความคิด การตัดสินใจหลายๆ อย่างของเม
ยังยืนกระต่ายขาเดียวของตัวเองอยู่ตลอด
เมรู้สึกได้ว่า คุณหมอพยายามช่วย แต่เมไม่เปิดใจ และไม่อยากรับการรักษา
เมไม่ได้โทษคุณหมอหรอก ในตอนนั้น เหมือนกับ อยากเดินจากมาเองมากกว่า

มีความคิดแย่ๆ หลายครั้ง ว่าจะกินยาที่คุณหมอจ่ายมาให้หมด ทีเดียว
อึ้ม..คิดไปได้เนอะ
แต่ก็ยังทำไม่ลงหรอก เพราะยังนึกถึงแม่ตลอดเวลา
ถึงจะมีหลายครั้งที่คิดว่า แม่ไม่รักเรา หรือรักเราน้อยกว่าพี่สาว
มันจะจริงหรือไม่จริง ใครก้ให้คำตอบไม่ได้
แค่รู้ว่า เรารักแม่ ไม่อยากให้แม่เสียใจ ก็พอแล้ว
เมอยากให้ทุกคนคิดแบบนี้นะ 

ครั้งที่สี่นี้ เมก้บอกคุณหมอไปเลยว่า จะไม่มาอีกแล้ว
คุณหมอก็ถามนะ ว่าทำไมล่ะ ไม่ชอบ หรือว่ายังไง ช่วยอธิบายได้ไหม
เมก็บอกไปว่า เมเหนื่อย ยังไม่อยากคุยกับใคร
ยังไม่ใช่ตอนนี้่...แค่นั้น เมพูดแค่นั้น แล้วก็ยกมือไหว้คุณหมอ
แล้วเดินออกมาเลย

คุณหมอก็เหมือนจะตกใจนะ แล้วก็เดินตามออกมาหน้าห้อง
แล้วบอกว่า ถ้ารู้สึกอยากคุย ให้โทรมาหาได้เลยนะ
อย่าคิดว่าอยู่คนเดียว เพื่อนร่วมโลกเรามีเยอะแยะ เพียงแค่เปิดตามอง

เมก็ยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง แล้วก็เดินร้องไห้กลับบ้าน
ความรู้สึกแบบ down เนี่ย อยู่มานาน นานจนไม่คิดว่าจะขึ้นได้เลย
จนกระทั่ง...

13 พฤษภาคม, 2555

พบจิตแพทย์ครั้งที่สาม

พอถึงวันนัด เมก็ไปเหมือนเดิม
พยามบาลก็ทำเหมือนทุกครั้ง สอบถามอาการ
วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก แน่ละ น้ำหนักลงมันทุกอาทิตย์เลย

พอเข้าไปนั่งในห้องคุณหมอ คุณหมอก็ยิ้มให้
แล้วก้ถามว่า ชอบฟังเพลงแนวไหนเหรอ?
หมออยากเปิดเพลงฟังสักหน่อย แต่ไม่รู้จะฟังแนวไหนดี ช่วยหมอเลือกได้ไหม?

ตอนนั้นยังคิดอะไรไม่ทัน แบบว่า คิดอะไรไม่ค่อยได้
ก็เลยเดินไปดูแผ่นซีดี ที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็เลือกๆ
สุดท้ายก็เลือกเป็นเพลงดนตรีบรรเลง (ปกติชอบฟังเพลงดนตรีบรรเลงอยู่แล้ว)
คุณหมอก็บอก เลือกได้ดีนี่ น่าสนใจนะ
แล้วคุณหมอก็เปิดให้ฟัง แล้วบอกให้เรานั่งฟัง สักครึ่งเพลงได้
คุณหมอก็เบาเสียงลง แล้วถามว่า ฟังแล้วนึกถึงเรื่องราวอะไรบ้าง
เมก็เลยบอกไปว่า "นึกถึงการ์ตูนบาร์บี้ค่ะ" (ก็มันเป็นเพลง Swan lake)
คุณหมอก็หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า หมอก็เคยดูนะ
แล้วก็คุยไปเรื่อยเปื่อยอีก ตามสไตล์ ฟังเพลงไป คุยไป
เราก็ผ่อนคลายขึ้นเยอะ แต่ก็ยังไม่เปิดใจสักเท่าไหร่
แล้วคุณหมอก็ถามว่า ทานยาแล้วเป็นยังไงบ้าง เราก็บอกไปตามตรงเลยว่า
ตั้งแต่ได้ยามา ไม่เคยกินเลย

คุณหมอก็ทำหน้าแปลกใจ แล้วถาม ทำไมล่ะ? ไม่ชอบกินยา กินยายาก หรือยังไงครับ?
เมเลยบอกว่า ไม่คิดว่ายาจะช่วยได้ค่ะ แล้วก็จ้องหน้าคุณหมอ
คุณหมอก็ทำหน้าแปลกใจ แล้วก็พูดว่า เหรอ คิดแบบนั้นเหรอ?
งั้น อาทิตย์นี้ หมอไม่สั่งยาแล้วกัน แต่ขอให้ทานที่เคยจ่ายให้ไปได้ไหม?
เมก็เฉยๆ ไม่ตอบ คุณหมอเลยบอก งั้นไม่เป็นไร อยากทานเมื่อไหร่ ก็บอกหมอนะ

แล้วก็นั่งคุยอีกสักพัก อาทิตย์หน้าก็นัดเจออีก

กลับบ้าน ด้วยความรู้สึก...เท่าเดิม -.-

ก่อนนัดครั้งที่สาม

คุณหมอนัดครั้งต่อไป อีกหนึ่งอาทิตย์
ได้ยากลับมากิน แต่...ไม่เคยกินเลย

ตอนนั้นคิดว่า ไม่อยากจะกิน กินไปมันก็แก้แค่ปลายเหตุ
ต้นเหตุมันคือก้นบึ้งของจิตใจ
แต่ก็ยังมีความคิดที่แย่ๆ นะ แอบเก็บยาไว้
เรียกว่า สะสมเอาไว้ จะดีกว่า


ภายในหนึ่งอาทิตย์นั้น เมก็เหมือนเดิม
เหมือนเดิมคือ ยังแย่กับทุกสิ่ง ทุกอย่างเหมือนเดิม
แต่ก็ยังไปวัด ไหว้พระ ขอพร ให้ตัวเองหลุดพ้นจากความทุกข์
พยายามสวดมนต์ นั่งสมาธิไม่ต้องพูดถึง
แค่กว่าจะสวดให้จบแต่ละบท ยังต้องพยายามอย่างมาก
แต่ก็พยายามหายใจลึกๆ เพราะอย่างน้อย มานั่งสวดมนต์ที่วัด
ก็ยังดีกว่านั่งอยู่บ้านแน่ๆ

ส่วนเรื่องการนอนหลับ...2-3 วัน นอนสักครั้ง ก็พอแล้วตอนนั้น
เพราะมันไม่หลับจริงๆ มันยากจริงๆ

พอใกล้ถึงวันที่หมอนัด ก็เริ่มมีความคิดว่า จิตแพทย์ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย

แต่ก็ยังไปนะ เพราะมันเป็นทางเลือกทางเดียวที่มี


พบจิตแพทย์ครั้งที่2

หลังจากไปพบครั้งแรก คุณหมอก็นัดอีกครั้งในอีกอาทิตย์นึง 
พอถึงเวลานัด ก็ไป ไปแบบ ไม่ได้คิดอะไร ไปเหมือนไปเพราะหน้าที่ 
ไปถึงก็ เบื่อๆ ซึมๆ เซ็งๆ พยาบาลก็มาชวนคุย
จริงๆ เหมือนกับ คล้ายๆ มาลองสอบถามอาการมากกว่า 
ออกแนววิเคราะห์อาการ ประมาณนั้น แล้วก็จดยิกๆๆๆ
แล้วให้นั่งรอพบคุณหมอสักพัก

ครั้งที่สองที่พบกับคุณหมอ คุณหมอก็ชวนคุย แต่เมก็ยังเหมือนเดิม 
เหมือนเบื่อๆ และคิดตลอดเวลาว่า เหนื่อยที่จะพูด บอกไปก็ไม่เข้าใจหรอก
มันยากมากรู้ไหม ถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกต่างๆ ออกมา มันยากเหลือเกิน

แต่คุณหมอก็ยังชวนคุยตลอด ถามความคิดเห็นต่างๆ 
ยกตัวอย่างนั่นนี่ แล้วก็ถามว่าเราคิดยังไง 
เราก็ตอบบ้าง เงียบบ้าง เพราะช่วงนั้นมันเหมือน ไม่ไหวแล้ว 
ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ร้องไห้แทบจะตลอดเวลา 

แค่เห็นใบไม้ร่วงก็ร้องไห้สะแล้ว -.-'

สุดท้ายคุณหมอก็สั่งจ่ายยา ให้ยามา 2 ตัว 
จากนั้น เราก็กลับบ้าน 
รู้สึกดีขึ้นไหม ? ตอบได้เลยว่า ไม่เลย กลับรู้สึกแย่ลงเข้าไปอีก
เพราะว่า ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นได้ขนาดนี้ กลายเป็นคนที่ป่วยทางจิต
ถึงขนาดต้องกินยาเพื่อควบคุมอารมณ์ ท้อและเหนื่อยมาก
เหนื่อยจริงๆ...


08 พฤษภาคม, 2555

พบจิตแพทย์

แล้วก็เหมือนเดิม ค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตก่อนเลย
ว่าควรจะไปพบที่ไหน ต้องเตรียมตัวยังไง อะไรบ้าง
สุดท้าย ก็เลือกโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใกล้บ้าน


ตอนแรก เมโทรศัพท์ไปถามที่โรงพยาบาลก่อน ว่ามีแผนกจิตเวชไหม
มีแพทย์เฉพาะทางหรือเปล่า ทางโรงพยาบาลก็บอกว่ามี สามารถเข้ามาพบได้เลย


จากนั้น ก็ไม่รอช้า ขับรถออกไปทันที 
พอไปถึงโรงพยาบาล ก็ไม่รู้จะบอกที่เคาน์เตอร์ว่า เป็นอะไร มาหาแผนกไหน
เลยเดินไปนั่งทำใจอยู่สักพัก จากนั้นจึงเดินไปบอกว่า มาพบจิตแพทย์ค่ะ 


บัตรอะไรก็ไม่ต้องทำ เพราะมีประวัติอยู่ที่โรงพยาบาลนี้อยู่แล้ว
จากนั้นก็มีคนมาเดินนำพาไปนั่งรอพบแพทย์ ตอนนั้นใจก็เต้นตุ๊บๆ แทบหลุดจากอก
ความรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ แต่มันจุกๆ อยู่ข้างในแบบบอกไม่ถูก
มือไม้ก็เย็น กุมมือตัวเองจนเล็บจิกแบบไม่รู้ตัว รู้อีกที ทำไมเจ็บหว่า ?


สักพัก พยาบาลก็เรียกให้ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน แล้วก็สอบถามอะไรนิดหน่อย
คือ ตอนนั้น เห็นหน้าพยาบาลน้ำตาก็ร่วงแบบไม่มีสาเหตุ
พยาบาลก็ลุกขึ้นมากอดเราด้วยนะ แล้วก็บอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ ปล่อยมันออกมา
เท่านั้นล่ะ ยิ่งร้องไห้โฮ เหมือนคนเก็บกดเลย


พอสักพัก พอรู้สึกดีขึ้น พยาบาลก็ให้เข้าไปพบคุณหมอ 
คุณหมอหน้าตาใจดีมากๆ แล้วก็ชวนคุย ถามไปเรื่อย จิปาถะ
ตอนนั้นเอง เมก็ออกจะเงียบๆ นะ เหมือนไม่กล้าพูดอะไรสักเท่าไหร่
คุณหมอก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังบอกว่า อยากพูดอะไรก็พูดออกมาได้เลย 
ถ้ายังไม่อยากพูด ก็ไม่ต้องพูด แล้วก็ถามว่า ตอนนี้อยากทำอะไร 
เราเลยตอบไปว่า อยากกลับบ้านแล้ว 


คุณหมอก็ยิ้มๆ แล้วก็บอกว่า โอเค ได้เลย งั้นไว้มาเจอกันใหม่นะ 
แถมยังเดินมาส่งหน้าห้อง แล้วก็ให้พยาบาลออกใบนัดให้ 
ครั้งแรกก็ผ่านไปแบบงงๆ มึนๆ ขับรถกลับบ้านมาแบบงงๆ 
ก็เลยเป็นการพบแพทย์ครั้งแรกแบบงงๆ 

กลับมา ก็มาซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วก็คิดว่า ครั้งหน้า จะพยามคุยกับคุณหมอให้เยอะกว่านี้ จริงๆ แอบรู้สึกผิดในใจ เหมือนคุณหมออยากคุยกับเรา มากกว่าเราอยากคุยกับเค้าสะอีก ทั้งๆ ที่เราไปหาเค้าแท้ๆ

07 พฤษภาคม, 2555

ความตายอาจไม่ใช่คำตอบ

เมื่อเริ่มมีความคิดว่า "อยากตาย" เข้ามาในหัวสมอง
ก็นั่งนอยด์ไปทั้งวัน "นี่เราอยากตายจริงๆ เหรอ"
"ความตายจะทำให้เราพ้นทุกข์ได้จริงๆ เหรอ"
"ถ้าตายไปแล้ว คนแรกที่จะเสียใจที่สุดก็คือ หม่ามี๊ นะ"

^

^


คิดไปต่างๆ นาๆ ร้อยแปดอย่าง เกี่ยวกับเรื่อง การฆ่าตัวตาย
เริ่มค้นหาจากอินเตอร์เน็ต สุดท้าย ไปจบลงที่ร้านหนังสือ (เหมือนเดิม)
ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง เขียนไว้เกี่ยวกับ "บาปจากการฆ่าตัวตาย"


เปิดอ่าน.........ขนลุกตลอดการอ่าน 
หนังสือเขียนไว้ว่า "บาปจากการฆ่าตัวตาย เป็นบาปร้ายแรง บาปทั้งต่อตัวเอง และบุพการี การฆ่าตัวตาย ถือว่าเป็นพรากจิตวิญญาณ ให้ออกจากร่างโดยที่ยังไม่ถึงฆาต จริงอยู่ ที่เราเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง แต่บาปต่อบุพการีอย่างไร? บาปต่อบุพการีก็คือ แม่ อุ้มท้องเรามา ประคบประหงมเรามา 9 เดือนเต็ม แล้วกว่าจะเลี้ยงเราโตขึ้นมา เสียทั้งหยาดเหงื่อแรงกาย ทั้งเงินทอง เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เป็นเจ้าของร่างกายแต่เพียงผู้เดียว บุพการี ยังเป็นเจ้าของร่างกายของเราด้วย ถ้าไม่ได้ท่าน เราก็จะไม่สามารถมีร่างกายได้มาถึงทุกวันนี้" 


ยังมีต่ออีกว่า "คนที่ฆ่าตัวตาย จิตวิญญาณจะยังคงอยู่ และต้องทำการฆ่าจิตวิญญาณตัวเองซ้ำๆ จนกว่าจะถึงอายุขัยที่แท้จริง แล้วจึงจะไปชดใช้กรรมต่อไป" 


อึ้ม อ่านไปแล้วก็เริ่มกลัว แล้วก็คิด จะทำยังไงดี เราไม่อยากทำบาปต่อพ่อแม่ 
ไม่อยากต้องมาฆ่าตัวตายซ้ำๆ ถึง 500 ครั้งหรอกนะ 
ทำยังไงดี?........ก็ Google อีก หาคำตอบ เปิดนู้นอ่านนี่ 
 
แล้วก็ได้คำตอบว่า เราควรไปพบจิตแพทย์ !


05 พฤษภาคม, 2555

นอยด์ขั้นสูงสุด

ครั้งนี้คงเป็นการอกหักที่แย่ที่สุดในชีวิต (หวังว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย)
"หวังจนมากเกิน หวังจนมากไป สูญเสียเธอเหมือนจะขาดใจ" (ยืมมาจากเพลง เสียใจได้ยินไหม)

ก็คงจริงอย่างที่มีใครเค้าเคยบอก "อย่าหวังสูง ถ้าตกลงมาจะได้ไม่เจ็บ"

เมื่อนอยด์มาถึงขั้นสูงสุด เมก็เก็บตัว ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด
จมอยู่กับความเจ็บช้ำต่างๆ คิดวนอยู่ในอ่าง แทบจะทุกเรื่องในอดีต ผุดขึ้นมาหมด
(ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่ยังมีเรื่องเพื่อน เรื่องผู้คนที่เคยประสบพบเจอ และเรื่องครอบครัวซึ่งก็เป็นส่วนที่ค่อนข้างใหญ่ในเรื่องของความเครียด)
วันๆ ก็เศร้าโศกเสียใจ คิดแค่ว่าทำไมถึงต้องมีแต่เรื่องให้เสียใจ
เบื่อหน่ายกับทุกสิ่ง จากที่เป็นคนชอบทำอาหาร
มีความสุขกับการทำอาหารให้คนนั้น คนนี้ได้กิน ชอบกินและแสวงหาของอร่อยๆ
กลับกินแค่ไม่ให้รู้สึกปวดท้อง วันละ 2-3 คำก็เพียงพอ ใช่ "วันละ 2-3 คำ"
หมดหวังกับทุกอย่าง ท้อแท้กับสิ่งที่กำลังทำ และยังไม่ทันได้ทำ
คิด step เดิมๆ ซ้ำๆ วนไป วนมา ไม่มีทางออก
ซึ่ง หาทางออกไม่เจอ หรือไม่ได้หา ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


จนเริ่มมีความคิดว่า ไม่อยากอยู่ต่อไปอีกแล้ว อยากตาย..

ดิ้นรนกันไปทำไม

เมื่อคนเรารู้สึกเหนื่อย และท้อแท้กับทุกสิ่งอย่าง 
เราจึงมักอยากพึ่งพาอะไรที่มันเหนือธรรมชาติ
นั่นแหละ ก็พึ่งเข้าใจคนที่เค้าชอบ "ดูดวง"
เมเป็นคนที่ไม่ค่อยดูดวงสักเท่าไหร่ คือ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ 
แต่คิดว่า ชีวิตมันก็ควรเป็นไปตามครรลอง 
คือ หมายถึง เชื่อเสมอว่า ความบังเอิญไม่มีในโลก
เมื่อเกิดสิ่งนี้ มันก็ต้องมีเหตุให้เกิด เมื่อสิ่งนั้นไม่เกิด ก็เพราะมันไม่มีเหตุให้เกิด (งงไหม?)
ทุกอย่างย่อมมีสมดุลของมัน


เพื่อนก็เลยพาไปดูดวง ดูกลับมา ยิ่งนอยด์เข้าไปอีก 
จากจิตใจที่อยู่ชั้นใต้ดิน ดูดวงไปแล้ว จิตใจหาไม่เจอกันเลยทีเดียว
ก็เล่นบอกกับเราว่า "ดวงตกทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก" แหม่ ! 
ตอนนั้น จาก นอยด์ขั้นธรรมดา เพื่มเป็นขั้นกว่าโดยทันที

งานก็ไม่ได้ทำ คุยกับใครก็ไม่ได้คุย (ก็ใครๆ เค้าก็มีสิ่งที่เค้าต้องทำกันทุกคน ใครจะมาว่างนั่งฟังเราได้ตลอดล่ะ)

ออกไปนั่งข้างนอกดีกว่า...
นั่งมอง...มองผู้คนเดินไป เดินมา เดินสวนกัน คนนึงวิ่ง คนนึงเดินช้า
คนนึงนั่งสบายใจ คนนึงนั่งก้นแทบไม่ติดเก้าอี้ 
คนนึงทำงานตั้งแต่เช้ายันมืด คนนึงทำแค่ให้มันผ่านๆ ไป
บางคนใช้ชีวิตดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อให้มีสิ่งที่อยากมี
บางคนใช้ชีวิตเรื่อยๆ ตามสิ่งที่มันเป็น มีแค่ไหน พอใจแค่นั้น หรืออาจไม่พอใจ แต่ขี้เกียจ

เมเลยได้ความคิดเข้ามาในหัวเพิ่มอีกว่า 
คนเราจะดิ้นรนให้เหนื่อยกันทำไม เพราะ...
สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ต้องตายเหมือนกันอยู่ดี เอาอะไรไปก็ไม่ได้สักอย่าง
ตายช้า ตายเร็ว ก็ตายเหมือนกัน พอเมื่อตายไป ใช่ คนที่รักเราเค้าก็คงเสียใจ คงร้องไห้
แต่พอเวลาผ่านไป เดี๋ยวเค้าก็ทำใจได้เอง ก็ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดานี่นา

ก็ใครๆ เค้าก็ตายกัน ไม่เห็นจะแปลก คนที่ไม่ตายสิแปลก 






งานไม่ทำ คนรักไม่มี ชีวิตไม่มีเส้นทางให้ก้าว

เวลาในแต่ละวัน ถูกปล่อยให้ไหลผ่านไป เหมือนมันไม่เคยมีค่า
ทั้งๆ ที่มันอาจจะมีค่าสำหรับใครสักคนอย่างมากมาย
นั่ง แค่นั่ง นั่งเฉยๆ ท้องก็ร้อง แต่ก็กินอะไรไม่ลง แค่น้ำ ยังกลืนยาก..


งานก็ไม่ทำ คนรักก็ไม่มี คิดแต่ว่า ชีวิตไม่มีเส้นทางให้ก้าวอีกต่อไป
ทุกอย่างนอยด์สุดๆ จนเริ่มรู้สึก และคิดว่า "คนเราเกิดมาเพื่ออะไรนะ"
เพื่อทำงาน? เพื่อมีความรัก? เพื่อมีเงิน? เพื่อใช้กรรม? เพื่อกำหนดทางเดินของตัวเอง?
เพื่อที่จะยิ่งใหญ่? เพื่อให้คนเคารพนับถือ? เพื่อ? เพื่อ? เพื่อ? เพื่อ?
เพื่อ........อะไร?


ออกจากบ้าน ออกไปทำอะไรสักอย่าง เผื่อจะได้ดีขึ้น !
สถานที่แรกที่นึกถึงคือ "วัด"
ไปทำบุญ ถวายสังฆทาน ปล่อยหอยขม (ที่เชื่อกันว่า จะเอาความขมขื่นออกจากชีวิต)
สวดมนต์ ขอพร ให้ขนมปังปลา ให้ผักบุ้งเต่า
ทุกๆ วัน ทำแบบนี้ ให้แต่ละวันผ่านไป
จนกระทั่ง เริ่มนั่งพูด นั่งพูดสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ กับใครน่ะเหรอ?
ไอเรามันก็คนเก็บความรู้สึกนึกคิด กลัวคนอื่นมองว่าเราอ่อนแอ
จนไม่เคยง้างปาก บอกความเจ็บช้ำในใจทั้งหลายให้ใครฟัง
ใช่ ผู้ฟังจึงไม่ใช่คน แต่เป็น...เต่า เต่าที่วัด


อย่าพึ่งคิดว่าเราบ้านะ (หรือบ้าหว่า?)
แต่เต่ามันมองหน้าเรานี่ เหมือนกับจะฟังเราจริงๆ มันก็แค่ไม่เคยพูดโต้ตอบกลับมาแค่นั้นเอง

เราก็เลยได้เต่าเป็นเพื่อนใหม่..


Ms. Sensitive

หลังจากได้สติขึ้นมาบ้าง เมก็เก็บเสื้อผ้า (ไม่ใช่หนีออกจากบ้านนะ)
แต่ไปอยู่กับพี่ชายสักพัก ในตอนนั้น เมแทบคิดอะไรไม่ได้
รู้อย่างเดียวว่า ร้องไห้เท่านั้น ที่ทำได้ขณะนี้
เมต้องการออกจากบ้าน เพราะยังไม่อยากให้แม่รับรู้
เพราะยิ่งถ้าแม่ได้รู้ เราก็จะยิ่งร้อง แล้วก็แน่นอนล่ะว่า แม่จะต้องสงสารเรา
ในฐานะที่ท่านเป็นแม่ ก็ย่อมรัก สงสาร และห่วงลูกมากเป็นธรรมดา
เราเลยตั้งใจว่า อยากจะรู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และค่อยบอกแม่ละกัน
"ไม่อยากให้แม่ต้องมาเห็นน้ำตาของลูก"


ตอนไปอยู่บ้านพี่ชาย เราก็แทบไม่ได้ทำอะไรเลย นอนร้องไห้อย่างเดียว
ไม่กินข้าว ไม่อาบน้ำ ไม่พูด หรือคุยกับใครทั้งนั้น
มีคำพูดประโยคหนึ่งที่พี่ชายพูดกับเราว่า
"ถึงเราจะเสียใจกับมันแค่ไหน เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้"
ประโยคนี้ทำให้เราหยุดร้องไห้ และนึกถึงแม่ คนที่รักเรามากที่สุดในชีวิตของเรา
ผ่านไปประมาณ 3-4 วัน เราก็กลับบ้าน
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังเชื่องช้า "กลางวันช่างยาวนาน กลางคืนช่างทรมาน"


จากเรื่องหนึ่ง พาลไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง และอีกหลายๆ เรื่อง
แน่ล่ะ ความคิด ความหวัง ความฝัน สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่คาดว่าจะทำ
"มันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว"
Ms. Sensitive คนนี้ จะทนกับมันได้เหรอ ?
คำตอบคือ...



The show อีกส่วนที่จุดประกาย

ยอมรับ และขอบอกตามตรงว่า 
ก่อนนอน แทบจะเกือบทุกคืน จะต้องหมอนเปียก เพราะร้องไห้จนหลับ
ก็เป็นคนคิดมาก แต่ไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากบอกใคร 
เพราะคิดเสมอ และตลอดเวลาว่า 
"ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกเราหรอก ถึงคนฟังจะบอกว่าเข้าใจ แต่แท้จริงมันไม่มี ไม่เคยมี"

อาการต่างๆ มาหนักเอาช่วงน้ำท่วม 
แต่ไม่ใช่เพราะที่บ้านน้ำท่วม แล้วได้เงินแค่ห้าพันหรืออะไรนะ (มันจะพอได้ไงฟะ) = =''
ช่วงนั้น ห่างกับแฟน (เก่า) มาก แต่ก็ไม่เคยว่า หรือบ่นอะไร
เพราะว่า ไว้ใจ เชื่อใจ มาตลอด...
จนเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 เช้าวันนั้น 
ตั้งใจอย่างมาก ที่จะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ "เราห่างกันเกินไปแล้วนะ"
เมื่อได้คุยกับแฟน (เก่า) จึงได้รู้อะไรบางอย่าง..
กับไอ้บางอย่างที่ว่า เราจึงเลิกกัน จบกันแค่นั้น The end.
ณ ตอนนั้น น้ำตาไม่มีสักหยด มีแต่ความว่างเปล่าในสมอง 
ไม่รู้จะพูด หรือจะคิดอะไรทั้งนั้น ไม่หลงเหลือสติ ไม่เหลืออะไรสักอย่าง
ล้มตัวลงนอน แล้วไม่คิด หรือ พูดอะไร อยู่แต่ในห้อง 2 วัน 2 คืน
ไม่กิน ไม่หลับ ไม่อาบน้ำ ไม่เข้าห้องน้ำ ไม่ร้องไห้ แค่หายใจ และกระพริบตา
...

เหตุเกิด...ตั้งแต่เมื่อไหร่?

เหตุเกิด...ตั้งแต่เมื่อไหร่..ไม่รู้ ???
รู้ตัวอีกที ก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่สะแล้ว (แป่ว)
อาจจะเป็นเพราะภายนอก และการแสดงออกของตัวเราเองล่ะมั้ง
ว่า..เป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ใส่ใจ ยิ้มสู้ หัวเราะสู้
และพูดออกมาอยู่เสมอว่า "ช่าง(มัน)เถอะ"
แต่แทบจะทุกเรื่อง ที่ผ่านเข้ามาในสมองของแต่ละวัน 
จะถูก "ก้อนสมอง" ของเรามาคิดซ้ำ อยู่เสมอ..
ทำไมน่ะเหรอ? อาจเป็นเพราะว่า เป็นคนขี้สงสัยมั้ง 
ก็อย่างเช่น สงสัยว่า..
ทำไมคนนั้น ถึงทำแบบนั้น? 
ทำไมคนนี้ ถึงพูดออกมาแบบนี้?
ทำไมเค้าไม่คิดก่อนทำนะ?
ทำไมเค้าไม่นึกถึงคนอื่นบ้าง?
ทำไม ทำไม ทำไม ? ? ?
ดูๆ แล้ว เหมือนคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านยังไงก็ไม่รู้อ่ะ >_<
แต่อันที่จริงก็คิดมาเสมอว่า เมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล เมื่อมีผลออกมาแล้ว มันก็ต้องมีเหตุมาก่อนสิน่า !


มาเรียนรู้ตัวตนกันก่อนเลยนะ
เป็นลูกคนที่สอง มีพี่สาว 1 คน ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ 
เหลือแม่แค่คนเดียว คุณพ่อเสียตั้งแต่ยังเล็ก (และคิดมาตลอดตั้งแต่จำความได้ว่า แม่รักพี่สาวมากกว่า พอเริ่มโต พี่สาวได้ดั่งใจแม่มากกว่า พี่สาวทำทุกอย่างเก่งกว่า ดีกว่าเราเสมอ)

เป็นคน...ขี้น้อยใจ ขี้แย ขี้เหงา ขี้เบื่อ ใส่ใจรายละเอียด ค่อนข้างทุ่มเท 
เห็นอกเห็นใจคนอื่นเสมอ และที่สำคัญ คิดมากสุดๆ 
แต่เวลาอยู่กับคนอื่น ก็จะไม่เคยพูดถึงปัญหาของตัวเองสักเท่าไหร่ 
(ก็ใครเค้าอยากจะฟังปัญหาของเรานักหนาล่ะ ทุกคนเค้าก้มีปัญหาของเค้าเองอยู่แล้ว) คิดแบบนี้

ฟังๆ (อ่าน) ดูแล้วเนี่ย นิสัยก็เหมือน "ผู้หญิง" ทั่วๆ ไปนั่นแหละ
แต่ทุกเรื่อง ทุกครั้งที่ทำให้เราเสียใจ เสียความรู้สึก เสียน้ำตา
ใช่...มันยังอยู่ อยู่ในสมอง อยู่ในใจ อยู่ในอกเรานี่ล่ะ
เพียงแค่ รอวันที่จะระเบิดออกมาเท่านั้นเอง
นี่ล่ะมั้ง สิ่งที่มันสะสม ค่อยๆ มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ 
จนกลายเป็นคนที่ "น้ำตาไหล" ได้ง่ายดายสะเหลือเกิน