27 สิงหาคม, 2555

ปรับเปลี่ยนความคิด พิชิตความเศร้า

บล็อกนี้ เมจะเขียนเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนความคิด พิชิตความเศร้า ที่เมได้รับความรู้มาจากการไปเข้าคลาสบำบัด สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าค่ะ

บล็อกนี้จะยาวหน่อยนะคะ แต่อยากให้ตั้งใจอ่าน และค่อยๆ คิดตาม พร้อมทั้งนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันค่ะ

ก่อนอื่น เรามาเรียนรู้เรื่องของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกันก่อนค่ะ เมเคยเขียนแล้วในบล็อกก่อนหน้านะคะ

รูปแบบของมันจะแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ
1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะประกอบไปด้วย ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร
2. ความคิด คือ การที่เรามีความคิดเห็นกับเหตุการณ์นั้นๆ
3. ความรู้สึก คือ ความรู้สึกของเรา ต่อเหตุการณ์นั้นๆ
4. พฤติกรรม คือ ปฏิกิริยาตอบสนองที่สามารถมองเห็นได้ เป็นการแสดงท่าทางออกมาทางร่างกาย เช่น อ้าปาก ตาโต หน้าแดง ทุบโต๊ะ เป็นต้น

โดยปกติแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น คนส่วนมาก จะใช้ความรู้สึกขึ้นนำ ก่อนความคิด โดยที่ความจริงแล้วเนี่ย สิ่งที่เกิดขึ้นก่อน จะเป็นความคิด โดยเราจะเรียกว่า ความคิดอัตโนมัติ

ความคิดอัตโนมัติ คืออะไร
ความคิดอัตโนมัติ คือ ความคิดที่แว่บขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อเราพบเจอเหตุการณ์นั้นๆ
ยกตัวอย่างเช่น
เมเดินเข้ามาในห้อง ก็พบว่า ข้าวของล้มระเนระนาด กระจัดกระจาย ความคิดอัตโนมัติของเม จะคิดมาว่า มีคนเข้ามารื้อห้อง เป็นต้น

ทีนี้ลองเอากระดาษ มานั่งวงกลม เป็น 4 วงนะคะ แล้วเขียนหัวข้อไว้ด้านบนของแต่ละวง โดยมี สถานการณ์ > ความคิด > ความรู้สึก > พฤติกรรม

เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ให้เลือกสถานการณ์มา 1 สถานการณ์ ที่เกิดขึ้นจริงกับตนเอง และทำให้เรารู้สึกแย่ หรือเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดค่ะ

เมื่อเลือกได้แล้ว เขียนลงไปในช่องเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เช่น เกิดสถานการณ์ที่ว่า ฉันรู้สึกว่าฉันจัดดอกไม้ได้ไม่สวยเหมือนคนอื่นเลย

แยกออกดังนี้
**สถานการณ์ (ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร)
- ฉันไม่สามารถจัดดอกไม้ได้แบบเค้า
**ความคิด (คิดอย่างไร กับเหตุการณ์นี้ นึกได้กี่อย่าง เขียนลงไปเลยค่ะ)
- คิดว่าทำไมฉันไม่เก่งเหมือนเค้า
- คิดว่าฉันนี่มันไม่ได้เรื่องเลย
- คิดว่าฉันมันโง่ ทำเท่าไหร่ก็ไม่ได้สักที
**ความรู้สึก (รู้สึกอย่างไร โดยความรู้สึกจะเชื่อมโยงกับความคิด)
- รู้สึกเศร้า
- รู้สึกท้อแท้
- รู้สึกผิดหวัง
- รู้สึกหงุดหงิด
- รู้สึกโกรธ
(ความรู้สึก เยื่อมโยงกับความคิดอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ฉันคิดว่า ทำไมฉันไมเก่งเหมือนคนอื่นเขา ฉันจึงรู้สึกท้อแท้ เป็นต้น)
**พฤติกรรม (เป็นปฏิกิริยาที่เราแสดงออกมาทางร่างกาย)
- ไม่ทำงาน
- ไม่กินข้าว
- นอนไม่หลับ
- หรือเครียดมากๆ ก็อาจทำร้ายตนเอง เป็นต้น

พอจะมองเห็นไหมคะ ว่าสถานการณ์หนึ่งๆ จะมีองค์ประกอบแบบนี้ โดยจะเกิดขึ้นไวมาก แต่สำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเนี่ย โดยส่วนใหญ่แล้วจะคิดในทางลบ มากกว่าทางบวกอยู่แล้ว

เราลองมาแยก ข้อดี ข้อเสีย กับเหตุการณ์นี้กันนะคะ
สรุปสถานการณ์ = ฉันไม่สามารถจัดดอกไม้ให้สวยได้เหมือนเขา ฉันจึงรู้สึกเศร้า ท้อแท้ และโกรธตัวเอง ฉันจึงนอนไม่หลับ

ข้อดี
- ......... (ไม่มีเลย)
ข้อเสีย
- เศร้า
- หดหู่
- ท้อแท้
- เครียด
- นอนไม่หลับ
- ทานข้าวไม่ลง
- ปวดท้อง
- เป็นโรคกระเพาะ
- ทำร้ายตนเอง/ผู้อื่น
เป็นต้น

จากด้านบนจะเห็นว่า เมื่อเรามองสถานการณ์ และคิดในแง่ลบ จะมีข้อเสีย มากกว่าข้อดี ทีนี้ เรามาค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิดกันค่ะ

การปรับเปลี่ยนความคิดนั้น จะต้องเป็นความคิดที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หรืออยู่ในระดับกึ่งกลาง ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่ จะคิดแบบทางลบ หรือเรียกว่า สุดโต่งทางลบ

การคิดแบบสุดโต่งเป็นอย่างไร?
การคิดแบบสุดโต่ง แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ดีสุดโต่ง และ แย่สุดโต่ง
คิดดีแบบสุดโต่ง เช่น ฉันจัดดอกไม้สวยที่สุด ไม่มีใครทำได้แบบฉัน การคิดแบบนี้ จะแสดงให้เห็นว่า เป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง โดยถ้าคิดแบบนี้ ก็จะถือว่า เป็นด้านลบ

คิดแย่แบบสุดโต่ง เช่น ฉันไม่สามารถจัดดอกไม้ได้ดีอย่างเขาเลย

ทีนี้ เราลองมาคิดให้มันอยู่ตรงกลาง อย่าลืมนะคะว่า ต้องสามารถเกิดขึ้นได้จริง

โดยตัวอย่างนี้ เมจะใช้เป็น : ฉันก็สามารถจัดดอกไม้ในแบบของฉันได้นะ ลูกค้า ก็ชอบดอกไม้ที่ฉันจัดนะ หรืออาจจะเป็น ฉันก็มีสไตล์ในการจัดดอกไม้ของฉันนะ เป็นต้น

เมื่อเราได้ความคิดกึ่งกลางและสามารถทำได้จริงแล้ว เราก็กลับมาแยกข้อดี ข้อเสียกันดูค่ะ

ข้อเสีย
-..... (คิดไม่ออก)
ข้อดี
- ฉันสามารถทำงานได้
- เป็นโอกาสให้ฉันเรียนรู้ที่จะจัดดอกไม้ในแบบใหม่ๆ
- ให้ฉันได้ฝึกฝนฝีมือ
- ไม่เครียด
- ไม่เศร้า
- มีกำลังใจที่จะเรียนรู้
- กินข้าวได้
- นอนหลับได้
เป็นต้น

เห็นไหมคะว่า ข้อดี จะเยอะกว่าข้อเสียเลยทีเดียว จากตอนแรก ที่มีแต่ข้อเสีย

การปรับเปลี่ยนความคิด มันสำคัญตรงนี้แระค่ะว่า เราจะคิดอย่างไร ให้เราอยู่กับมันได้ จำไว้ว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนอื่นได้ สิ่งที่เราทำได้ คือ ความคิดของตนเอง

บางคนอาจคิดว่า โหย พอเกิดอะไรขึ้นมา ใครจะมานั่งแยกแยะ เป็นข้อ เป็นนู้นนี่นั่นฟะ! เชื่อเถอะค้ะ ตอนแรก เมก็คิดแบบนี้ แต่ค่อยๆ ลองมาปรับใช้ กับสถานการณ์ของเราดูนะคะ นึกถึงว่า เขียนหนังสือ ก็ยังต้องหัดเลย ไม่ใช่ครั้งเดียวก็เขียนได้ การปรับเปลี่ยนความคิดก็เหมือนกันค่ะ เราต้องฝึกฝน แล้วเราก็จะเก่งเอง

ทิ้งท้าย : สถานการณ์เดียวกัน คนคิดไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ การหล่อหลอมเลี้ยงดูของแต่ละคน เพราะฉะนั้น เรา จะคิดอย่างไร ให้เราอยู่กับมันได้

ลองดูนะคะ ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ คิด อ่านจบ ลองเขียนสถานการณ์ของตัวเองดูบ้าง ลองแยกแยะ และค่อยๆ วิเคราะห์ ว่าเราใช้แต่ความรู้สึก มากกว่าควคิดหรือเปล่า

เป็นกำลังใจ ให้เพื่อนๆ ทุกคนนะคะ เราจะสู้ไปด้วยกันค่ะ

เม

24 มิถุนายน, 2555

เข้าร่วมคลีนิคบำบัดซึมเศร้าครั้งที่2






อันนี้เป็นใบนัดเข้ากลุ่มค่ะ ทุกครั้งที่เข้ากลุ่มบำบัดเสร็จ จะมีพยาบาลเซ็นให้ ว่ามาเข้าแล้วน๊าาา

วันนี้เป็นครั้งที่สอง หัวข้อจะเป็น ปรับความคิดพิชิตซึมเศร้าค่ะ

นั่งล้อมวงเป็นกลุ่มเหมือนเดิม แต่คราวนี้จะมีพยาบาลมานั่งร่วมด้วย 3 คนค่ะ
วันนี้พยาบาลพูดคุยเรื่องความคิดค่ะ ว่า ความคิดแบบไหน เป็นอย่างไร หรือพูดง่ายๆ ก็คือ
ให้เราคิดว่า ความคิดที่เรากำลังคิด เป็นแง่บวก หรือแง่ลบ

มีการเสนอสถานการณ์ขึ้นมา แล้วแยกเป็น mapping ให้ดูว่า
ถ้ามีสถานการณ์เกิดขึ้น บุคคลส่วนใหญ่ โดยทั่วไปแล้วเนี่ย
จะเกิด "ความรู้สึก" กับสถานการณ์ขึ้นมาก่อน
ซึ่งความจริงแล้ว เมื่อเกิดสถานการณ์ใดๆ แล้วเนี่ย mapping เป็นเช่นนี้ค่ะ

สถานการณ์ > ความคิด > ความรู้สึก > พฤติกรรม

ยกตัวอย่างสถานการณ์ เช่น

ตอนที่พยาบาลกำลังนั่งพูดคุยอยู่นั้น อยู่ดีดี ก็มีเจ้าหน้าที่คนที่1 เข้ามาเดินแจกเอกสารให้กับคนไข้
ที่กำลังตั้งใจฟังพยาบาลอธิบาย แล้วก็มีเจ้าหน้าที่คนที่2 เดินเข้ามาดุคนที่1 ว่า "คุณเค้าพูดอยู่ ให้เค้าพูดจบก่อน แล้วค่อยมาแจก" แล้วจากนั้น เจ้าหน้าที่คนที่2 ก็ไปดึงเอกสารคืนไป

จากนั้น พยาบาลก็ถามแต่ละคนว่า มีความคิด หรือความรู้สึกกับสถานการณ์เมื่อครู่ว่าอย่างไรบ้าง?

คนไข้คนที่ 1 ตอบว่า รู้สึกถูกขัดจังหวะ
คนไข้คนที่ 2 ตอบว่า รู้สึกว่าไม่ต้องเอาคืนไปก็ได้ เดี๋ยวก็ต้องมาแจกใหม่อยู่ดี
คนไข้คนที่ 3 ตอบว่า รู้สึกสงสาร ว่าทำไมคนนั้นต้องมาดุคนที่มาแจกเอกสารด้วย พูดดีดีก็ได้
คนไข้คนที่ 4 ตอบว่า รู้สึกเฉยๆ (เมเอง)
คนไข้คนที่ 5 ตอบว่า รู็สึกถูกดึงความสนใจจากที่พยาบาลกำลังพูด ทำให้เหมือนหลุดออกจากสิ่งที่พยาบาลกำลังพูด
คนไข้คนที่ 6 ตอบว่า รู้สึกว่าไม่มีมารยาทที่แทรกเข้ามา

จากนั้น พยาบาลอีกท่านนึง ก็ให้ช่วยกันแยกว่า แต่ละข้อที่แต่ละคนไข้เสนออกมา อันไหนเป็นความรู้สึก อันไหน เป็นความคิด

เมยกตัวอย่างให้ดูนะคะ

รู้สึกว่าถูกขัดจังหวะ ถือว่า เป็นความคิด ไม่ใช่ความรู้สึก
"คิด"ว่า ถูกขัดจังหวะ > จึงทำให้"รู้สึก" ไม่พึงพอใจ > แล้วแสดงออกมาเป็น"พฤติกรรม" คือ จ้องมอง 

จากตัวอย่าง แสดงให้เห็นว่า คนทั่วไป ชอบใช้คำว่า รู้สึกแบบนี้ รู้สึกแบบนั้น
แต่ความจริงแล้ว เราต้องมี "ความคิดก่อน แล้วจึงรู้สึก"

เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดสถานการณ์ใดๆ ขึ้นแล้วเนี่ย เราควรใช้ความคิดกับสถานการณ์นั้นๆ ก่อนจะรู้สึกกับสถานการณ์

เมื่อเราสามารถกระบวนความคิดได้แล้ว เราก็จะสามารถประมวลผลความคิดของเราได้ว่า
ตอนนั้น เราคิดบวก หรือ เราคิดลบ

แล้วคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเนี่ย ก็มักจะคิดลบกันทั้งนั้น แล้วเราจะปรับเปลี่ยนความคิดของเรายังไงให้กลายเป็นแง่ที่ดีขึ้น 

จากนั้นก็มีการใช้สถานการณ์ของคนไข้ภายในกลุ่ม ซึ่งเป็นสถานการณ์จริง เมไม่สามารถเผยแพร่ได้นะคะ เพราะการเข้ากลุ่มบำบัด มีกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนคือ ไม่ให้นำเรื่องเกี่ยวกับสมาชิกภายในกลุ่ม ออกไปเผนแพร่เด็ดขาด เราสามารถระบายความอัดอั้นตันใจได้ เพื่อนๆ สมาชิกในกลุ่มจะช่วยกันระดมความคิดเห็น และช่วยแนะนำ เสนอวิถีทางให้กับสมาชิกค่ะ

แล้วเมก็ได้การบ้านกลับมา ให้ทำ mapping กับสถานการณฺที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเอง
โดยเขียนว่า "สถานการณ์เป็นอย่างไร เราคิดว่าอะไร เรารู้สึกยังไง พฤติกรรมที่ตามมาคืออะไร"

ถ้าถามเมว่า เมคิดยังไงนะ ตอนนี้เมบอกได้แค่ว่า บางครั้ง บางที เมก็ไม่ได้ไปอยากนั่งฟังปัญหาของคนอื่น แบบว่า เราก็เครียดตาม แต่พอเมไปเข้าคลาสครั้งที่สาม (อันนี้เมเขียนย้อนหลังนะคะ) ความคิดเมเปลี่ยนไปทันที

เมกลับคิดว่า จริงๆ แล้วเนี่ย จากการที่สมาชิกในกลุ่มเล่าถึงปัญหาของของตนเอง แล้วเมื่อเรามาช่วยกันวิเคราห์ มันทำให้เราคิดอะไรได้เยอะขึ้น รู้จักการคิด แยกแยะ ทีละนิด ทีละหน่อย รู้จักการทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น รู้จักคิดว่า เราควรที่จะคิดแบบไหน ให้ตัวเรามีกำลังใจ และคิดในแง่ที่ดีขึ้น

แต่ก็อย่างว่านะ เวลาถ้าเรา down มากๆ ถึงตอนนั้น เรานึกอะไรไม่ออกจริงๆ ก็คงต้องค่อยๆ ปรับกันไป สู้ๆ เพื่อตัวเราเองให้กลับมาเป็นปกติกันดีกว่า !

จบการเข้าคอร์สที่สองค่ะ
Ps. อาหารว่างที่แจกวันนี้เป็นพายของแมคโดนัลส์ด้วยอ่า ฮ่าๆ ^___^

ทิ้งท้ายค่ะ "การคิดในแง่ดี ไม่ใช่การคิดในแง่บวกแบบสุดโต่ง หรือคิดแง่ลบแบบสุดดิ่ง แต่คือการคิดที่อยู่ในความเป็นจริง และเกิดขึ้นได้จริง"





คุยเรื่องผลข้างเคียงของยากับตัวเม

อันนี้เป็นบล็อกเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยากับตัวของเมเองค่ะ

คุณหมอกับเภสัชกรมักจะบอกว่า
ยาที่ใช้กับแต่ละคนที่เป็น MDD จะแตกต่างกันไป ตามประเภท และขนานของยา

ครั้งแรกที่เมไปพบคุณหมอ คุณหมอให้ Lorazepam กับ Lexapro ค่ะ
Lorazepam จะทานก่อนนอน ช่วยให้หลับ
Lexapro เป็นยาต้านเศร้า คุณหมอให้ทานหลังอาหารมื้อเช้า

ครั้งแรกที่ได้ยามา เมก็มา Search หาก่อนเลยว่า ยาตัวนี้เป็นยังไง ให้ผลยังไง
ข้างเคียงยังไง พออ่านแล้วก็ผลใกล้กันคือ ความง่วงซึม

เอาไงล่ะทีนี้ เมเองก็อยากจะหลับ แต่ไม่อยากง่วงซึม นอนอยู่กับบ้าน
แถมเคยไปอ่านบล็อกคนอื่นว่า ทานแล้วไปไหนไม่ได้เลย
อยากอยู่แต่ในห้อง

คือ เมไม่ได้ ไม่อยากอยู่บ้านนะ แต่ว่า ไม่อยากให้คนที่บ้านเห็นเมเป็นแบบนี้ต่างหาก
ยอมที่จะไปนั่งหลับที่ร้านกาแฟก็เอา

เมก็เลยไม่ยอมทาน พอถึงคราวนัดพบคุณหมออีก คุณหมอก็ถามเรื่องยา
ก็โดนดุนิดหน่อย ถ้าใครเคยได้อ่านบล็อกก่อน เลยกลับบ้านมาทานยาตามหมอสั่ง
(อย่างเต็มใจนิดๆ)

ยาตัวก่อนนอน เมทานคืนแรก หลับปุ๋ยค่ะ ครบ 8 ชม. เด๊ะ!
ตื่นมาอีกที ว้าวววว หลับยาว ไม่ได้หลับยาวมานานมากๆ แล้ว ไม่ใช่เดือน แต่เป็นปี..
แต่...มึนมากๆ ค่ะ พอจะลุกเท่านั้นล่ะ มึนแบบล้มลงที่นอนใหม่
เมก็ เอ๊ะ เราคงลุกเร็วไป เอาใหม่ๆ ทีนี้ค่อยๆ ลุก หายใจลึกๆ
แต่ก็จะเวียนๆ หัว มึนๆ เมก็คิดว่า เดี๋ยวสักพัก มันคงหายไป

พอหลังทานมื้อเช้า เมก็ทานยาตัวที่หมอสั่งให้ทานหลังอาหารเช้าต่อเลย

สรุปแล้ว วันนั้น มึนทั้งวันค่ะ มึน แต่เมไม่ง่วงนะ มึนแบบ เวียนหัวมากๆ เดินตรงไม่ได้
นี่ถ้าไปโดนจับข้อหาเมาแล้วขับ คงโดนเล็งคนแรกแน่ๆ เพราะเดินเอียงสุดๆ
หน้ามืดบ่อยมากๆ บางครั้งแอบวูบนิดๆ การทรงตัวนี่ยากลำบากในช่วงอาทิตย์แรกมากๆ

พออาทิตย์ที่สอง เริ่มดีขึ้น แต่ยังมึนๆ เอียงๆ เล็กน้อย
พอไปพบคุณหมออีกครั้ง คุณหมอเลยเปลี่ยนตัวยาก่อนนอนให้
จาก Lorazepam เป็น Clonazepam

เราก็แอบดึใจนิดนึงว่า เอ๊ะ หรือเราอาการดีขึ้น เปลี่ยนยา? คิดเอาเองนะ
เมก็ทานยาตามหมอสั่งปกติ แล้วอาการมึนหนักๆ ก็กลับมาอีก
จากดีขึ้น กลับมามึนหนักกว่าเดิม จากที่มึนอยู่แล้ว เดินเอียงอยู่แล้ว
เอียงกว่าเดิมเพิ่มขึ้นประมาณ 20%
แถมพูดจาไม่รู้เรื่อง พูดวนไปวนมา เหมือนปากติดขัด 

แต่เมก็ไม่ยอมแพ้ ยังพยายามดันตัวเองออกไปข้างนอก
แต่ไปแล้วก็ได้แต่นั่ง จะไปเดินเหินดูโน้นนี่ ก็ฝันไปเถอะ ทรงตัวยังแทบจะไม่อยู่

พอเมทานไปต่อไปอีกสองอาทิตย์ อาการเหล่านี้ก็หายไป ไม่ถึงกับหายสนิท
ยังหลงเหลือ หน้ามืดอยู่บ้าง เวียนหัวนิดหน่อย แต่ไม่เดินเอียง หรือทรงตัวยากแล้ว
เภสัชกรบอกว่า เป็นเพราะร่างกายกำลังปรับตัวให้เข้ากับยา
ผลข้างเคียงก็จะขึ้นอยู่กับแล้วแต่บุคคลด้วยค่ะ

13 มิถุนายน, 2555

เข้าร่วมคลีนิคบำบัดโรคซึมเศร้าครั้งที่1 Part2

Part 1 อันนี้นะคะ
http://maepinksnow.blogspot.com/2012/06/1.html

ต่อเลยนะคะ
วิธีรักษา
ดีที่สุดคือ การรักษาทางการแพทย์ ร่วมกับ การรักษาทางจิตใจ

ทางการแพทย์ คือ การให้ยาต้านเศร้า
รักษาทางจิตใจ คือ ปรับแนวคิดเชิงบวก
ซึ่งก็จะแตกต่างไปในแต่ละบุคคล และการวินิจฉัยของแพทย์

การออกกำลังกานก็สามารถช่วยได้เช่นกันค่ะ

ต่อไปเป็นเภสัชกรมาให้ความรู้เกี่ยวกับยาต้านเศร้าหรือคุณหมอบางคนจะใช้คำว่า ยาควบคุมอารมณ์

ยาต้านเศร้าโดยทั่วไปมีฤทธิ์ระงับอาการซึมเศร้า
และยังช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคได้อีกด้วย

การรับประทาน ต้องรับประทานต่อเนื่อง โดยประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี (แล้วแต่บุคคล)
และไม่ควรหยุดยาเอง
"ไม่ควรหยุดยาเอง" ทั้งคุณหมอและเภสัชย้ำหลายครั้งมากๆ

การทานยาต่อเนื่องจะมีโอกาสหาย และกลับมาเป็นอีกได้น้อยมาก
เพราะถ้าไม่ทานยาต่อเนื่อง และกลับมาเป็นอีก โอกาสที่จะรักษาหายจะน้อยลง และอาการอาจรุนแรงมากขึ้น

ยาต้านเศร้า มีเป้าหมายคือ รักษา และป้องกันการกลับมา

การเลือกใช้ยา
ยาจะมีหลายชนิด หลายขนาน เช่น 5 mg, 10 mg เป็นต้น
จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ให้เหมาะสมในแต่ละช่วงของคนไข้

ผลข้างเคียงของยาต้านเศร้า
ท้องผูก, อาเจียน, ความดันต่ำ, หน้ามืด, เวียนศีรษะ, ปากแห้ง, คอแห้ง เป็นต้น
เกิดกับแค่บางคน และช่วงแรกๆ ของการใช้ยา

และถ้าเจ็บป่วยเป็นโรคอื่น หรือ ไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการอื่นๆ เช่น เป็นหวัด เป็นต้น
ต้องแจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบว่าเรารับยาต้านเศร้าอยู่ทุกครั้ง
เพื่อป้องกันการตีกันของยา หรือ ยาบางตัวอาจส่งผลในการเพิ่ม หรือลดประสิทธิภาพของยา

ทิ้งท้าย Coffee Lover ทั้งหลายจ๋า
กาแฟก็มีส่วนลดประสิทธิภาพในการทำงานของยาต้านเศร้าเช่นกันนะจ๊ะ

อันนี้กระแทกโดนเมเองเต็มๆ *0*

จบการเข้าบำบัดครั้งที่ 1 ค่ะ
มีรูปภายในห้องมาฝากด้วย อาจถ่ายไม่ชัดขออภัย แบบว่า มือสั่น เพราะหนาวมากกกก แล้วก็ไฟสะท้อนด้วยค่ะ







*หมายเหตุ
อันนี้เป็นความรู้ที่เมได้รับมาจากการไปเข้าบำบัด ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ด้วยค่ะ

07 มิถุนายน, 2555

เข้าร่วมคลีนิกบำบัดโรคซึมเศร้าครั้งที่1

เมื่อวานวันที่ 6 มิ.ย. 2555 เมก็ไปรพ.เพื่อไปเข้าคลีนิกบำบัดโรคซึมเศร้า เวลา 13:00 น.
ไปถึงเมก็งงๆ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง เห็นมีพยาบาลนั่งอยู่บริเวณนั้น เมก็เลยเดินเข้าไปบอกว่า มาเข้าคลีนิกบำบัดซึมเศร้าค่ะ
พยาบาลเลยบอกให้นั่งรอบริเวณหน้าห้องตรวจก่อน เดวจะมีคนมารับ
เมก็นั่งรอ ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แอบตื่นเต้น แต่ก่อนเข้ารพ.เราก็แวะซื้อกาแฟไปนั่งจิบด้วย เลยคลายความตื่นเต้นลงได้หน่อย

นั่งรอประมาณ 10 นาที ก็มีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้ขึ้นไปห้องข้างบน
เมก็เดินตามๆ คนอื่นขึ้นไป มีคนมาเข้าร่วม รวมเมด้วยแล้วก็ 5 คน

ถึงหน้าห้องก็เซ็นชื่อเข้าร่วม พร้อมเขียนชื่อทำป้ายติดเสื้อไว้

บรรยากาศภายในห้องก็ มีโต๊ะตรงกลาง มีสไลด์ แล้วก็มีเก้าอี้ให้คนไข้นั่งล้อมวง



การเข้าร่วมครั้งที่1 นี้ เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
โดยใช้ชื่อหัวข้อว่า มาทำความรู้จักโรคซึมเศร้ากันเถอะ

ระหว่างคุณหมอบรรยาย ก็จะมีการถามความเห็นคนไข้คนนู้นคนนี้ มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แล้วคุณหมอก็จะชี้แจ้งข้อมูลที่ถูกต้องอีกครั้ง

โดยเมสรุปมาได้ดังนี้

ประชากรไทยจำนวน 1.2 ล้านคนเป็นโรคซึมเศร้า หรือประมาณ (2%)

กลุ่มที่เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า
1. มองโลกในแง่ลบ
2. แก้ไขปัญหาแบบหลีกหนี
3. เพศหญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศชาย
4. คนไข้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น อาจเป็นโรคที่รักษาหายยาก หรือนาน จนทำให้เกิดความเครียด และท้อแท้

อาการของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า
- จะแสดงออกทางความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ เช่น ดูเศร้าสร้อย ซึม หดหู่ ร้องไห้ ฯลฯ
- แสดงออกทางร่างกาย ทำสิ่งต่างช้าลง พูดช้า หรือติดขัด เป็นต้น

โรคซึมเศร้า = โรคจิต?
- โรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคจิต ต่างจากโรคจิต และมีโอกาสหายได้สนิทมากกว่าบุคคลที่เป็นโรคจิต

สาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้า
1. ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง
2. พันธุกรรม
3. เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด

ส่วนใหญ่จะเริ่มป่วยครั้งแรกหลังอายุ 20 และก่อน 50 ปี
โรคซึมเศร้าสามารถหายได้ หรือ เป็นเรื้อรัง และหรือเป็นซ้ำได้
การที่เป็นเรื้อรังหรือเป็นซ้ำ อาการจะเกิดเเป็นช่วงๆ สามารถทุเลาและหายได้เช่นกัน

ขอไปต่อบล็อก Part2 นะคะ



พบแพทย์ครั้งที่3

วันนัดที่ควรจะไปคือ วันศุกร์ที่ 25 พ.ค. 2555 แต่...
ด้วยความที่มึนยามาก ก่อนนอนกินยาตามหมอสั่ง ทำให้ตื่นสาย
เหมือนยังปรับเวลาการทำงานของยาไม่ถูก ก็เลยไม่ได้ไป
เมเลยโทรไปเลื่อนนัดแทนเป็นวันที่ 1 มิ.ย. 2555

พอถึงวันนัด เมก็อิดออดเล็กน้อย เพราะว่า กลัวโดนคุณหมอว่าเอา
ก็เมทานยาบ้าง ไม่ทานยาบ้าง ประมาณว่า รู้ตัวว่าโดนแน่ๆ
แล้ววันนั้น รถก็ช่างติดเหลือหลาย ปรกติจากบ้านเม เดินทางไปรพ.
ใช้เวลา 20-30 นาทีเท่านั้น แบบขับไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ
แต่วันนั้น กว่าจะไปถึง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 10 นาทีเลยทีเดียว

แล้วแถมยังออกจากบ้านสายอีกต่างหาก ยอมรับเลย \0/
เมไปถึงรพ.11:00 น.เป๊ะ รีบพุ่งตัวไปจอดรถอย่างด่วนเลย
ลงจากรถก็รีบวิ่งไปยื่นบัตรนัด ตามบัตรนัด สามารถไปยื่นได้ตั้งแต่เวลา 8:00-11:15น.
ก็วิ่งก้นแล่บกันเลยทีเดียว

พอขึ้นไปถึง เมก็ยื่นบัตรนัดพร้อมบัตรรพ.ตามเดิม
แล้วก็รับบัตรคิวเพื่อไปนั่งรอสอบถามอาการ วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก
พอได้บัตรคิวมา เมก็เดินไปกดน้ำดื่ม ด้วยความที่รีบมาก หน้ามืดนิดหน่อย
เลยกดน้ำดื่มมือสั่นเลย จนเจ้าหน้าที่มองแล้วก็ถามว่า ไหวไหมครับ
เค้าคงคิดว่าเมจะเป็นลมแล้วมั้ง ฮ่าๆ

จากนั้นเมก็ไปนั่งรอสอบถามอาการ วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก แล้วก็รับเบอร์เพื่อรอพบคุณหมอ
วันนี้เมได้พบคุณหมอเป็นคนสุดท้ายเลย ก็แน่ล่ะ ไปสะไวเชียว!
คุณหมอก็สอบถามอาการตามปรกติ เราก็พูดคุยไป น้ำตาไหลบ้างเป็นช่วงๆ
แล้วก็เอาอาการต่างๆ หรือพวกความรู้สึกในแต่วันที่เมจดไว้ให้คุณหมออ่าน
คุณหมอก็เลยถามว่า แล้วทานยาตามหมอสั่งหรือเปล่า
แหม คำถามแทงใจดังฉึก ก็เลยตอบอย่างเบาบางว่า
ทานบ้างไม่ทานบ้างค่ะ
คุณหมอเลยยิ้มๆ แล้วก็ถามว่า แล้วถ้าไม่ทานยาตัวที่เป็นก่อนนอน สามารถนอนหลับไหม
เมก็ตอบไปว่า ไม่หลับค่ะ หรือไม่ก็หลับประมาณตี4 สักสองชั่วโมงก็ตื่น
คุณหมอเลยทำหน้าเข้มใส่แล้วพูดว่า ช่วยทานยาตามที่หมอสั่งทุกวันจะได้ไหม!
เมก็เลยก้มหน้าหน่อยๆ แล้วก็บอกว่า จะพยายามค่ะ

คุณหมอยังถามอีกว่า มาพบคราวหน้าหมออยากให้คุณแม่ หรือพี่สาวก็ได้ มาพบหมอด้วยได้ไหม
โอ๊ววว เท่านั้นแหล่ะ น้ำตาแตก ไหลเป็นเขื่อน
คุณหมอบอกว่า เผื่อหมอจะช่วยพูดให้เค้าเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น
เมเลยบอกคุณหมอไปว่า เมว่าเค้าไม่เข้าใจหรอกค่ะ ถึงหมอจะพูดเค้าก็ไม่มีทางเข้าใจ
คุณหมอเลยบอกเมว่า ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ไม่อยากให้มาก็ไม่เป็นไร
พอตอนท้าย คุณหมอก็แนะนำให้เข้าคลีนิกบำบัดโรคซึมเศร้า ที่ทางรพ.จัดขึ้นทุกวันพุธ
เมจึงไปลงชื่อ แล้วก็ต้องไปรพ.อีกทีวันพุธที่ 6 มิ.ย. 2555 เวลา 13:00 น.

30 พฤษภาคม, 2555

ตัดสินใจบอกคนรอบข้าง

ก่อนหน้าที่เมมีอาการ ไม่ว่าจะเครียด เศร้า ร้องไห้ ไปพบแพทย์ ฯลฯ
เมก็ยอมรับและเผชิญกับมันมาคนเดียวตลอด
จนพี่ชายที่สนิทกัน เริ่มถามถึงอาการบ่อยขึ้น เพราะเราแปลกไปนี่
เราเลยตัดสินใจพูดเท่าที่สามารถสื่อออกไปได้
เพราะบางครั้ง การที่จะพูด หรืออธิบายอะไรออกไป มันก็ช่างยาก
เรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ว่าจะพูดว่าอะไร ใช้คำว่าอะไร
ให้คนฟังเค้าเข้าใจในสิ่งที่เาต้องการจะสื่อ

ก็เหมือนกับการเขียนบล๊อกนี่ล่ะ ก็ต้องใช้ความพยายามเช่นกัน

เมเริ่มจากพูดสิ่งที่เมเสียใจ จากการที่เป็นแบบนี้
ตัวอย่างเช่น เมเสียใจที่ไม่สามารถ take care น้องสาวที่สนิทกันได้เหมือนเมื่อก่อน
เมจะชอบทำอาหาร ทำขนมให้น้องทาน พาน้องไปเที่ยวที่ที่น้องสาวอยากไป
แต่ 7 เดือนที่เมเป็นแบบนี้ เหตุการณ์ปรกติที่เมเคยทำ แทบจะไม่มีเลย
ที่ว่า แทบจะไม่มีเลย ก็คือ มีพาน้องออกไปทานข้าวข้างนอกบ้าง
แต่ทำอาหารที่บ้าน ไม่มีเลย ไม่มีสักจานเลย

แล้วก็เสียใจ ที่ทำตัวให้แม่ต้องเป็นห่วงตลอด เสียใจกับคำพูดของเพื่อนบ้าง
คำพูดของพี่สาวบ้าง น้อยใจบ้าง เมเริ่มระบายออกไปทีละเรื่องที่นึกออก

พี่ชายก็รับฟัง แล้วก็บอกว่า จะยังไงก็แล้วแต่ อยู่ด้วยกันต่อไปนานๆ
อยากให้หนูกลับมาเป็นคนเดิม อยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ

เมก็เริ่มเบาใจขึ้นเปราะหนึ่ง ว่าอย่างน้อย มีคนหนึ่งล่ะ ที่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น
เค้าจะเข้าใจเราหรือเปล่า เมไม่รู้หรอก แต่อย่างน้อย ยังมีพี่ชายคนนี้เป็นกำลังใจ
และเชื่อมั่นในตัวเมว่าเมจะต้องหาย และแน่นอนเมก็อยากหาย

ส่วนคนที่สอง ที่เมตัดสินใจพูดให้ฟัง ก็คือพี่สาวแท้ๆ ของเมเอง
ถ้าใครเคยอ่านบทความแรกๆ จะรู้ว่า เมไม่ได้สนิทกับพี่สาวเท่าไหร่นัก
แต่เมก็ตัดสินใจที่จะค่อยๆ พูดออกไป
พี่สาวกับแม่ จะคิดตลอดว่า ที่เมเป็นแบบนี้เพราะว่าเมเลิกกับแฟนที่คบกันมานาน
และมีความคาดหวังสูง พอต้องมาเลิกกัน เมเลยทรุด

จะบอกว่ามันไม่ใช่เหตุผล มันก็ไม่เชิงสะทีเดียว แต่จะบอกว่า มันคือทั้งหมด มันก็ไม่ใช่แน่นอน

พอเมเริ่มพูด เริ่มสื่อออกไปให้พี่สาวฟัง พี่สาวก็จะมีความขัดแ้งตอบโต้กลับมาตลอด
แล้วทำไมไม่อย่างนั้น แล้วทำไมไม่อย่างนี้
แล้วถ้าคิดว่าตัวเองเป็น "โรค" ก็จะเป็นแบบนี้ต่อไป เมื่อไหร่จะหาย
เมไม่ได้ต้องการให้ใครมาเออออห่อหมกกับเมตลอดหรอกนะ
แต่เมก็จะบอกพี่สาวตลอดว่า สิ่งที่แจ้พูดมาน่ะ เมรู้ เมคิดได้ แต่เมไม่สามารถทำได้

พี่สาวย้อนถามเมว่า แล้วหมอจะช่วยอะไรเราได้ ก็แค่ให้ยาๆ แล้วก็กลายเป็นคนติดยา
คือ จะมาถามเมแบบนั้น เมก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันหรอกนะ
แต่เมรู้แต่ว่าอย่างน้อย เมก็ได้ "พยายาม" ทำอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยเหลือตัวเอง

2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา เมเครียด และหดหู่อยู่บ่อยๆ
ร้องไห้หนักๆ และเริ่มกลับมาทำร้ายตัวเอง ก็ไม่ถึงกับเลือดตก ยางออก
เพราะทุกครั้ง เมก็พยายามเรียกสติตัวเองตลอด ไม่ว่าจะร้องไห้หนักขนาดไหน
ตะโกนให้ลั่นรถ ก็จะนึกถึงหน้าแม่ตลอด
เมยอมรับ ว่าความคิดที่ไม่อยากจะอยู่อีกต่อไปแล้วเริ่มกลับมา

เมเลยคิดว่า ถ้าได้บอกคนรอบข้างบ้าง เค้าอาจจะช่วยเป็นกำลังใจ
หรือช่วยดึงเรากลับมา แต่ก็นะ คำว่า "เค้าไม่เข้าใจเราหรอก" มันก็มีความหมายแบบนั้นจริงๆ


27 พฤษภาคม, 2555

ขอแชร์อะไรเล็กๆ น้อยๆ

หลังจากพบคุณหมอครั้งที่สองเสร็จ เมก็นึกขึ้นได้หลายอย่าง 
ว่าตัวเองมีคำถามเยอะแยะมากมายอยากจะถามคุณหมอ
แต่กลับไม่ได้ถามเลย

เลยอยากแนะนำว่า ต้องจด นึกได้ตอนไหน อารมณ์มาตอนไหน จดเลยค่ะ 

ถ้าจด ใส่สมุด หรือกระดาษแล้วลืมพกไป หรือจดแล้วมันช้า ไม่ทันใจ ไม่ทันความคิด
เมแนะนำให้อัดเสียงใส่โทรศัพท์เลย ซึ่งเมทำแบบนั้นจริงๆ

อ่อ แล้วก้มีอีกอย่าง ที่เมลืมเล่าไปในบล็อกที่แล้ว 
ก็คือ เมเล่าให้คุณหมอฟังด้วยว่า เมเล่นอินเตอร์เน็ตนะ 
เล่นทวิตเตอร์ แล้วก็ได้คุยกับคนที่เค้าเป็นเหมือนกับเรา 
ให้กำลังใจกันและกัน ก็จะรู้สึกดีขึ้นมา มากบ้าง น้อยบ้าง ตามโอกาส
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยไม่ใช่เหรอ?
ซึ่งยอมรับเลยว่า บางครั้งยังรู้สึกว่า 
เค้าสนใจความรู้สึกนึกคิดเรามากกว่าคนรอบข้างเสียอีก


แล้วบางที เวลาเมรู้สึกดาวน์มาก หดหู่มาก รู้สึกเหมือนตัวเองจะร่วงลงไป
เมกลับนึกถึงเพื่อนในทวิตเตอร์มากขึ้น 
ยังไงก็ขอขอบคุณคุณนางกับน้องเฟิร์นอีกครั้ง 
ปล. ที่เรียกคุณนางว่าคุณนาง เพราะไม่ทราบอายุเลย แล้วก็ไม่เคยถาม นั่นสิ ทำไมหว่า ><


จากที่บ่นๆ มาด้านบน คือ เมต้องการจะบอกว่า การที่เราได้มีใครสักคนที่รับฟังเรา
ไม่ต้องเข้าใจเราก็ได้ ขอแค่เค้ายินดี และเต็มใจที่รับฟังเรา สักคนหนึ่ง เท่านั้น 
เราจะรู้สึกดีขึ้นได้ ไม่มากก็น้อย แล้วแต่สถานการณ์


กับคนที่เราไม่เคยพบเจอในชีวิตจริง กับคนที่เราไม่เคยไปทานอาหาร หรือหัวเราะด้วยกัน
แต่มาร้องไห้ผ่านหน้าคอม หน้าไอแพด หน้าซัมซุง หรืออะไรก็แล้วแต่ และระบายสิ่งที่เราอัดอั้นออกไปบ้าง สักพัก เราจะสงบลงค่ะ จริงๆ นะ 


อยากบอกให้ทุกคนสู้ บอกตัวเองด้วย สู้ไปด้วยกัน โรคนี้หายได้ค่ะ 


ทิ้งท้ายด้วยป้ายที่รพ. "โรคซึมเศร้า ไม่ใช่โรคจิต ใส่ใจสักนิด รักษาหายได้"



พบคุณหมอครั้งที่2

วันนี้ไปถึงประมาณเก้าโมงกว่า
ยังมีแอบนอยด์บ่นในทวิตว่า ไม่อยากไปอยู่เลย
แต่ไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อตัวเองก็ต้องไป

ค่อยๆ ขับรถไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
พอไปถึง ก็หันซ้าย หันขวา ว่ายื่นใบนัดช่องไหนหว่า
ยื่นใบนัดเสร็จ เค้าก็บอกให้ไปนั่งรอ หน้าห้อง 302 (ถ้าจำไม่ผิด)
พร้อมให้บัตรคิวมาด้วย


เมก็นั่งรอไป แอบตื่นเต้นเหมือนเดิม พอถึงคิวก็เข้าไปในห้อง
วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก แล้วพยาบาลก็สอบถามอาการว่า เป็นอย่างไรบ้าง
ดีขึ้น หรือแย่ลง เมตอบไปว่า ทรงตัวค่ะ
พยาบาลก็เขียนยึกๆๆๆๆ ลงในแฟ้ม แล้วก็ให้เหรียญพลาสติกเหมือนเดิม
บอกให้ไปรอพบคุณหมอ

ระหว่างเดินขึ้นบันไดแค่ไม่กี่ขึ้นเพื่อไปนั่งรอพบคุณหมอ
ก็ยังแอบคิดว่า "ที่ให้พบหมออีก แสดงว่า ยังต้องรักษาต่อสินะ
ก็ใช่สิ อารมณ์แปรปรวนขนาดหนัก เอาวะ สู้ๆ"



ตอนไปนั่งรอ มีคนไข้คนหนึ่ง นั่งร้องไห้ แล้วก็พูดอะไรไม่รู้
เมจับใจความไม่ได้เลย รู้สึกสงสารมาก จนน้ำตาไหล
กลับกลายเป็นร้องไห้ตามไปเลย โอ้ว ชีวิต!

พอเจ้าหน้าที่เรียกให้พบคุณหมอ เมก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปพบคุณหมอ
วันนี้หน้าตาคุณหมอดูสดใสเป็นพิเศษ เราเลยแอบรู้สึกดีขึ้นนิดนึง (ไม่รู้ทำไม)
คุณหมอก็ถามว่า เป็นยังไงบ้าง สองอาทิตย์ที่ผ่านมา
เมก็เล่าให้ฟัง ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง รวมๆ ก็คือ
ร้องไห้น้อยลง แต่ขี้หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียวมากขึ้น
คุณหมอเลยบอกว่า "เป็นส่วนหนึ่งของอาการนะ ไม่ต้องวิตก"
แล้วก็ถามเมว่า "แล้วเราทำยังไง เวลารู้สึกโมโหมากๆ หงุดหงิดมากๆ"
เมเลยบอกว่า ก็จะเดินหนีไป หรือนับเลขในใจ เพื่อระงับอารมณ์
คุณหมอก็ถามอีกว่า "แล้วการทำแบบนั้น กับได้โวยวายออกมา แบบไหนดีกว่ากัน?"
เมนิ่งไปแป๊ปนึง คิดก่อน..แล้วก็ตอบว่า ได้โวยวายออกไปก็ดีไปแบบนึง
แต่หลังจากสงบก็รู้สึกแย่ รู้สึกผิด เสียใจที่โวยวายออกไปแบบนั้น
แต่ถ้าพยายามเก็บ มันก็สะสมๆ ทำให้เครียดขึ้นมาอีก 

คุยไปเรื่อยๆ คุณหมอก็ถามเรื่องการนอนหลับ ทานข้าว
แล้วก็เลยพาลไปถามถึงเรื่องยา เมเลยบอกไปตามตรงว่า
ไม่ได้ทานยาเลย แล้วก็บอกเหตุผลไป (อ่านย้อนได้ที่บล็อกก่อนหน้าค่ะ)
http://maepinksnow.blogspot.com/2012/05/blog-post_4403.html

คุณหมอเลยบอกว่า ขอให้ลองทานยาดูนะ เพราะยาจะช่วยในเรื่องของอารมณ์อย่างมาก
เราก็เลยทำหน้าแหยๆ แล้วก็พยักหน้างึกๆ

พบหมอครั้งนี้ไม่ต้องเสียค่ายา ใช้ยาเดิม เลยจ่ายแค่ค่าหมอ 50 บาท
นัดอีกครั้งในสองอาทิตย์ข้างหน้า


26 พฤษภาคม, 2555

อาการในช่วงอาทิตย์ที่สองก่อนหมอนัด

ขอบอกอันนี้ก่อนเลย เดี๋ยวจะลืม 
ยาสองตัวแรก ที่คุณหมอสั่งมาให้ เมไม่ได้ทานเลย 
ยอมรับผิดเต็มๆ >_<


เหตุผลๆๆๆ มีนะ ก็คือ เมก็เอาชื่อตัวยา ยี่ห้อยา ที่อยู่บนแผง 
มาค้นคว้าในอินเตอร์เน็ต พออ่านๆ ไปแล้ว ก็เริ่มรู็สึกไม่อยากจะทานแล้วล่ะ 
แล้วยิ่งได้อ่านบล็อกของคนที่มีประสบการณ์ ที่ต้องทรมานกับยา
ยิ่งทำให้ไม่อยากแตะต้องเข้าไปใหญ่


อาการก็คือ จะมึนงง สู้แสงไม่ได้ อยากจะซุกตัว มุดตัวอยู่ในความมืด 
ว่าง่ายๆ ก็คือ ยาเค้าอยากให้เราพักผ่อนน่ะ

แล้วไอเราเนี่ย อยากจะออกไปนั่งร้านกาแฟมากกว่าหมกตัวอยู่ในห้องมืดๆ นี่นา 
ก็อยู่มาทั้งคืนแล้วอ่ะ 


แล้วผลลัพธ์ที่ได้จากไม่ยอมทานยาก็คือ ยังนอนไม่หลับเหมือนเดิม
ถึงจะได้หลับก็ หลับๆ ตื่นๆ ทุก 5-10 นาที รวมๆ แล้วไม่เกินสองชั่วโมงต่อวัน
รู้สึกหดหู่ เศร้าบ้าง เป็นบางครั้ง แต่ไม่ร้องไห้ตลอดเวลาแบบเมื่อก่อน 
แต่กลับฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์ กลายเป็นคนขี้วีน 
จนมีครั้งนึง วีนใส่เพื่อนสนิทไป ทั้งๆ ที่เพื่อนเป็นห่วง


รู้สึกผิดมากๆ ก็ร้องไห้เสียใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้ 
อารมณ์ดิ่งทันที...จากที่เคยอ่านหนังสือได้ อ่านได้อย่างมาก 3 หน้า ก็ปิดเล่ม 
ไม่มีสมาธิ ไม่อยากจะอ่าน ไม่อยากจะทำอะไร 
เครียดเข้าไปอีก ว่าตัวเองเป็นอะไรนักหนานะ!


พอถึงวันรุ่งขึ้นที่ครบกำหนดคุณหมอนัด ก็พยายามทำใจให้สบาย 
เตรียมว่าจะถามอะไรกับคุณหมอดี อะไรที่เราข้องใจ 
อะไรที่เราเป็น และเราจะสามารถแก้ไขได้อย่างไร 


อาการในช่วงอาทิตย์แรกก่อนหมอนัด

ตอนพบคุณหมอครั้งแรก คุณหมอถามเมว่า
ทำอะไรแล้วรู้สึกไม่หดหู่ ไม่อยากร้องไห้ หรือรู้สึกเศร้า
เมเลยบอกไปว่า อ่านหนังสือที่อ่านง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน
ดื่มกาแฟของโปรด อยู่ในที่ที่คนไม่พลุกพล่าน

คุณหมอเลยแนะนำว่า ให้ทำในสิ่งที่ทำให้อารมณ์ไม่จมดิ่ง
และค่อยๆ คิดว่า อยากจะทำอะไรอีกไหม

เมก็ยังไปอ่านหนังสือตามร้านกาแฟ ถ้าใคร Follow twitter ของเม
จะทราบว่า เมจะชอบไปนั่งร้านกาแฟ และสามรถอยู่ได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 3-4 ทุ่มเลยทีเดียว

แต่พอช่วงปลายอาทิตย์แรก เริ่มมีอาการหงุดหงิดง่าย รำคาญทุกอย่างรอบข้าง
รำคาญเสียงพูดคุย รำคาญทุกอย่าง อยากจะโวยวาย อยากจะกรี๊ดใส่หน้าคนที่พูดมาก
มีถึงขนาดที่ว่า พี่สาว กับน้องสาว นั่งคุยกันบนโต๊ะทานข้าว
คุยกันปกติ แย่งพูดกันไปมา เมเริ่มรู้สึกตึงๆ ที่ก้านสมอง
แล้วก็เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วก็ตบโต๊ะอย่างแรงไปหนึ่งที
พร้อมบอกว่า เงียบๆ ได้ไหม ปวดหัวมาก

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้า แทบจะไม่สนใจอะไรกับรอบตัวเลยสักนิดเดียว
เดินซึมๆ ไปวันๆ ใครอยากจะทำอะไรก็ช่าง
หลังจากนั้นไม่ถึงนาที เมเริ่มได้สติ แล้วแปลกใจกับตัวเองมาก
แถมยังรู้สึกผิดมาก และอยากจะร้องไห้ ว่าตัวเองกลายเป็นอะไรแล้ว?



สู้อีกครั้ง กับคุณหมอคนใหม่ ภาคที่ 2

ตอนนั่งรอก็รอแบบใจตุ้มๆ ต่อมๆ เอาโทรศัพท์มากดดูนู้นนี่นั่น แก้อาการตื่นเต้น
ผู้คนรอบข้างที่นั่งรอพบคุณหมอเหมือนกัน บางคนต้องมีคนพามา 
บางคน ก็สามารถพาตัวเองมาได้ อย่างเช่นเม เป็นต้น


บรรยากาศก็เป็นเก้าอี้แถวๆ ตั้งเป็นช่วงๆ ตามห้องตรวจ 
และจะมีเจ้าหน้าที่นั่งหน้าห้อง คอยเรียกว่าใครจะเข้าเป็นคนต่อไป


หาครั้งแรก จะรอนานหน่อย เพราะเค้าจะให้คนไข้เก่าที่หมอนัดตรวจก่อน
ระหว่างเมนั่งรอ น้ำตาก็ไหล นั่งร้องไห้สะงั้น รู้สึกเศร้า
ว่าทำไมตัวเองถึงต้องมานั่งอยู่ในแผนกนี้นะ 
ทำไมไม่เป็นคนที่สามารถรับอะไรต่อมิอะไร แล้วต่อสู้กับมันได้ 


แต่ใครว่าชีวิตมันง่ายล่ะ? จริงไหม?


พอใกล้ถึงคิวของเม เมก็ยิ่งตื่นเต้น ไม่รู้ว่าคุณหมอหน้าตาเป็นยังไง 
จะดุหรือเปล่า จะพูดอะไรก่อน จะเริ่มอะไรก่อนดี คิดไปสารพัดสารเพ

พอเข้าไปในห้อง เมก็ยกมือไหว้คุณหมอ แล้วก็นั่งลง 
น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด กลัวไปต่างๆ นาๆ 
คุณหมอเลยบอกให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องรีบ 
แล้วคุณหมอก็ถามคำถาม เราก็แค่ตอบตามที่เราเป็น หรือแวบแรกที่นึกได้

เมก็คุยกับคุณหมอไปเรื่อยๆ คุณหมอบอกว่า ยังไม่สามารถสรุปแน่ชัดได้ว่า 
สาเหตุจริงๆ มาจากอะไร แต่คิดว่า น่าจะเกิดจากความห่างเหินทางด้านจิตใจของครอบครัว

คุณหมอเลยสั่งยาให้ ได้ยามาสองตัว เป็นยานอนหลับ (เพราะว่าเมนอนไม่หลับเลย)
อีกตัวเป็นยาควบคุมอารมณ์ (คุณหมอใช้คำนี้) 
แล้วก็นัดในอีกสองอาทิตย์